WD บริษัทในเครือของเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์เปอเรชั่น (WDC) ประกาศเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์บางขนาด 5 มม. ที่ใช้เทคโนโลยีลูกผสม โดย WD ได้พัฒนาฮาร์ดดิสก์ให้มีความบางมากพอในระดับที่สามารถใส่เข้าไว้ในเครื่องโน้ตบุ๊คที่มีขนาดบางที่สุดในปัจจุบัน ฮาร์ดดิสก์รุ่นนี้มาพร้อมกับความจุในระดับสูงและความแข็งแกร่งทนทาน พร้อมด้วยคุณสมบัติของเทคโนโลยี Instant-On และสมรรถนะในการใช้งานที่คล้ายกับไคลเอ็นต์ โซลิด สเตทไดรฟ์ (SSD) ในปัจจุบัน เทคโนโลยีลูกผสมใหม่ล่าสุดนี้เปิดตัวไปแล้วในวันนักลงทุนของ WD ซึ่งตรงกับวันที่ 13 กันยายน ศกนี้ที่ผ่านมา
Matt Rutledge รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ Client Storage ของ WD กล่าวว่า “อุปกรณ์เคลื่อนที่กำลังมีขนาดเล็กลง บางลง เบากว่าเดิม และตอบสนองมากขึ้น ด้วยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีของเรา WD จึงสามารถพัฒนาฮาร์ดดิสก์ใหม่ความหนา 5 มม. ที่มีความจุสูงสำหรับจัดเก็บข้อมูล พร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยม และหลักเศรษฐศาสตร์ที่เหนือชั้นกว่า เพื่อให้ลูกค้าของเราสามารถขยายการนำเสนอในเรื่องความบางของฮาร์ดดิสก์ได้”
ขณะที่ประสิทธิภาพเชิงปริมาตรของอุปกรณ์คือประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่สำคัญสำหรับบรรดาผู้สร้างระบบ WD ก็ได้เริ่มจัดส่งฮาร์ดดิสก์หนา 7 มม. สำหรับโน้ตบุ๊คที่มีรูปลักษณ์ที่บางเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (ในอดีต ฮาร์ดดิสก์สำหรับโน้ตบุ๊คมาตรฐานจะมีความหนาอยู่ที่ 9.5 มม.) โดยฮาร์ดดิสก์ลูกผสมความหนา 5 มม. ของ WD ในครั้งนี้จะส่งผลให้คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดบางที่สุดในตลาดสามารถเสนอความจุที่ระดับ 500 GB ได้ และใช้พื้นที่น้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ปัจจุบันที่หนา 9.5 มม. เกือบถึง 50% และเสียต้นทุนเพียงหนึ่งในสิบของ SSD ที่มีความจุในระดับเดียวกัน
“Acer จับมือกับ WD เพื่อสร้างสมรรถนะและความจุขั้นสูงสำหรับโน้ตบุ๊คด้วยฟอร์มแฟกเตอร์ที่เล็กที่สุด ความร่วมมือของเราเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีชั้นนำซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมของลูกค้าของเราได้ในท้ายที่สุด” David Lee ผู้ช่วยรองประธานประจำหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ของ Acer กล่าว
ขณะที่ SY Shain รองประธานอาวุโสประจำหน่วยธุรกิจโน้ตบุ๊คของ ASUS กล่าวแสดงความเห็นว่า “เรากำลังมองเห็นถึงการขับเคลื่อนในโลกคอมพิวเตอร์ไปสู่โซลูชันสำหรับคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ที่ทรงพลังมากกว่าเดิม ดังนั้น ASUS และ WD จึงร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันฮาร์ดดิสก์เพิ่มเติมและบางมากกว่าเดิมสำหรับโน้ตบุ๊ค โดยที่ยังคงรักษาระดับความจุหรือประสิทธิภาพไว้ได้ เพื่อส่งมอบฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็กลงกว่าเดิมแก่ผู้บริโภค”
เทคโนโลยีลูกผสมและระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Client Tier
เทคโนโลยีลูกผสมหรือที่เรียกกันว่าไฮบริดที่เป็นนวัตกรรมของ WD จะจับคู่เข้ากับหน่วยเก็บข้อมูลแบบแฟลช MLC NAND เพื่อสร้างปริมาณการถ่ายทอดข้อมูลที่รวดเร็วเหมือนกับ SSD และการตอบสนองแบบ Instant- On กับจานแม่เหล็ก สำหรับการจัดเก็บข้อมูลความจุสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีไฮบริดของ WD จะใช้ประโยชน์จากแนวคิดของระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Tier ที่คล้ายคลึงกับแนวทางปฏิบัติในระบบการทำงานขององค์กรที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ โดยข้อมูลที่มีการเข้าถึงบ่อยที่สุด (ซึ่งมักจะเรียกกันว่า hot data) จะได้รับการจัดการโดยใช้หน่วยความจำแฟลชแบบ NAND ที่รวดเร็ว เพื่อความมั่นใจได้ถึงเวลาในการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ขณะที่ข้อมูลที่มีการเข้าถึงไม่บ่อยครั้งนัก (cold data) จะฝังอยู่ในจานแม่เหล็กที่ทนทาน
การออกแบบของฮาร์ดดิสก์ไฮบริดในลักษณะแบบชั้น (tier) นี้ เมื่อเทียบกับดูอัลไดรฟ์ในปัจจุบันยังให้ประโยชน์ในเรื่องของระบบการทำงานซ้ำซ้อน (redundancy) สำหรับผู้ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับสูง จานแม่เหล็กจะทำหน้าที่สำรองไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยความจำแบบ NAND ซึ่งจะช่วยป้องกันผู้ใช้จากการสึกหรอของหน่วยความจำแบบ NAND ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และสงวนไว้สำหรับการจัดการกับข้อมูลที่มีการเข้าถึงบ่อยที่สุด เทคโนโลยีไฮบริดของ WD จะทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการของเครื่องพีซี เพื่อมอบประสิทธิภาพในระดับที่สูงกว่าเทคโนโลยีไฮบริดที่นำเสนอในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ยังลดการสึกหรอของหน่วยความจำแบบ NAND ให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสกับการใช้งานหน่วยความจำแบบ MLC NAND ที่มีราคาถูกกว่า
ฮาร์ดดิสก์ไฮบริดเป็นการรวมเอาหน่วยความจำแฟลชแบบ NAND และจานแม่เหล็กเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การรวมองค์ประกอบของหน่วยจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า OEM และยังมาพร้อมกับประโยชน์มากมายสำหรับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประสิทธิภาพที่เหนือชั้นกว่า การตอบสนอง การกินไฟที่น้อยลง การป้องกันความเสียหายจากการกระแทกในขณะปฏิบัติงานที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการปกป้องข้อมูล เทคโนโลยีลูกผสมของ WD ยังต่างจากการออกแบบดูอัลไดรฟ์ตรงที่การมีลักษณะของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการออกแบบในชิ้นเดียว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่บรรดาผู้ผลิตระบบ OEM ต่างแสวงหามาเป็นเวลาช้านานจากอุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูล