สิ้นสุดการรอคอยกับแฟนๆ iPhone ชาวไทยที่ในปีนี้เป็นแรกที่วางจำหน่าย iPhone รุ่นใหม่ในประเทศไทยเร็วกว่าเดิมมากๆ กับ iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาแทนที่ iPhone 12 Series ซึ่งก็ได้มีการเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้ากันไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และตอนนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ก็ได้เดินทางมาอยู่ในมือของทีมงาน @Flashfly เรียบร้อยแล้ว พร้อมพาทุกคนเข้าไปสำรวจ iPhone รุ่นใหม่ ก่อนที่จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
สเปก iPhone 13
- จอแสดงผล OLED ขนาด 6.1 นิ้ว Super Retina XDR ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi
- กล้องหลัง 2 ตัว กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A15 Bionic CPU แบบ 6‑core GPU แบบ 4‑core Neural Engine แบบ 16‑core
- ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, Ultra Wideband, NFC, Lightning
- เซ็นเซอร์ Face ID, LiDAR Scanner, Barometer, Three‑axis gyro, Accelerometer, Proximity sensor, Ambient light sensor
- ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS, BeiDou
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดบอดี้ 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 173 กรัม
- มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู และ Product RED
สเปก iPhone 13 Pro Max
- จอแสดงผล OLED ขนาด 6.7 นิ้ว Super Retina XDR พร้อม ProMotion ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลที่ 458 ppi
- กล้องหลัง 3 ตัว กล้องเทเลโฟโต้ ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A15 Bionic CPU แบบ 6‑core GPU แบบ 5‑core Neural Engine แบบ 16‑core
- ความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, Ultra Wideband, NFC, Lightning
- เซ็นเซอร์ Face ID, LiDAR Scanner, Barometer, Three‑axis gyro, Accelerometer, Proximity sensor, Ambient light sensor
- ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS, BeiDou
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดบอดี้ 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 238 กรัม
- มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ กราไฟต์, ทอง, เงิน และสีใหม่ เซียร์ร่าบลู
แกะกล่อง
กล่องบรรจุภัณฑ์ของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max คล้ายกับกล่องของ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro Max ในปีที่แล้ว ด้วยกล่องสีขาวและสีดำที่มีความแบน เพื่อเพิ่มปริมาณการจัดส่งต่อครั้งได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงของระบบขนส่ง และหน้ากล่องของทั้งคู่ก็จะพิมพ์รูปภาพด้านหลังตัวเครื่องตามสีสันของ iPhone รุ่นใหม่ พร้อมกับ โลโก้ Apple และตัวอักษร iPhone ด้านข้างกล่องก็เป็นสีเดียวกันกับตัวเครื่อง
อีกจุดที่น่าสนใจตามนโยบายลดโลกร้อนของ Apple ก็คือ กล่องของ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ ไม่มีการซีลด้วยแผ่นพลาสติกใสห่อหุ้มภายนอกกล่องอีกต่อไปแล้ว (Apple บอกว่าช่วยลดการใช้พลาสติกได้ถึง 600 เมตริกตัน) โดยแทนที่ด้วยแถบกระดาษกาว ติดที่ขอบฝากล่องข้างใต้ ทั้งด้านบนและด้านล่าง
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมาก็จะพบ iPhone เป็นอย่างแรกโดยนอนคว่ำหน้าอยู่ และสามารถดึง iPhone ขึ้นมาจากกล่องได้ง่ายๆ จากลิ้นกระดาษที่ยื่นมาจากแผ่นป้องกันรอยหน้าจอ (แผ่นกระดาษป้องกันหน้าจอ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการทำงานของปุ่มกดด้านข้างด้วย)
หลังจากหยิบ iPhone 13 หรือ iPhone 13 Pro Max ออกมาจากกล่อง ก็จะพบกับซองเอกสาร ซึ่งภายในยังแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 1 อัน พร้อมด้วยเข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด นอกจากนี้ ก็เป็นแผ่นเอกสารต่างๆ ได้แก่ คู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น การรับประกัน และ เอกสารยืนยันว่าผ่านการรับรองจาก กสทช.
สุดท้ายเป็นสายชาร์จ USB‑C to Lightning ไม่มีอุปกรณ์ชาร์จ หรือ Power Adapter แถมมาให้ ซึ่งถูกถอดออกไปจากกล่องตั้งแต่ iPhone รุ่นก่อนหน้า ตามนโยบายลดโลกร้อนของ Apple
Apple วางเป้าหมายเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025 และลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ในทุกภาคส่วนของธุรกิจภายในปี 2030 ด้วยการดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลก ให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของเจ้าของอุปกรณ์ การชาร์จ จนถึงการรีไซเคิล และการคัดแยกวัสดุ
ดีไซน์พรีเมียมอย่างเคย
iPhone 13 ซึ่งรวมถึง iPhone 13 Pro Max ยังคงใช้ดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro Max แต่ก็ไม่เหมือนเดิม 100% ในส่วนที่เหมือนนั้น มาจากดีไซน์โดยรวมที่มาพร้อมส่วนขอบแบนราบ ใช้วัสดุสแตนเลสสตีล เกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม ทนทานต่อรอยขีดข่วนและการกัดกร่อน อีกทั้งตัวเครื่องโดยรวมของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ยังทนน้ำที่ระดับ IP68 สามารถอยู่รอดที่ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที และยังสามารถทนต่อ ของเหลวที่หกใส่ได้ ทั้งกาแฟ ชา น้ำอัดลม และอีกมากมาย
iPhone 13 มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ที่ใช้จอภาพ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ที่ 460 ppi ส่วน iPhone 13 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ที่ใช้จอภาพ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว มีจุดเด่นที่รองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz ซึ่งเป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับ และมีเฉพาะใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max เท่านั้น
รอยบากบนหน้าจอ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ที่เว้นไว้สำหรับติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth ก็มีขนาดเล็กลงถึง 20% ทำให้จอแสดงผลมีพื้นที่มากขึ้น โดยที่ Face ID ยังคงให้ความปลอดภัยสูงไม่ต่างจากรุ่นก่อน และยังมีการขยับลำโพงหูฟังขึ้นไปไว้ชิดขอบบนมากขึ้น นอกจากนี้ ด้านหน้าของทั้งคู่ ยังได้รับการปกป้องด้านหน้าด้วย Ceramic Shield ที่พบได้ใน iPhone เท่านั้น ให้ความแข็งแกร่งกว่ากระจกบนสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น มีความทนทาน และทนต่อการตกกระแทกได้เป็นอย่างดี
iPhone 13 ด้านหลังเป็นกระจกแวววาว สีไฮไลท์ก็คือสีชมพู และ iPhone 13 Pro Max ด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน โดยมีไฮไลท์ที่สี Sierra Blue ซึ่งเกิดจากการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิว เพื่อให้ได้สีสันที่สวยงาม ทนทาน สามารถมองเห็นความแตกต่างเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนได้จากโมดูลกล้องหลัง ซึ่งในรุ่นใหม่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน เนื่องจาก iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ได้รับการปรับปรุงระบบกล้องหลังให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น
ด้านข้าง iPhone 13 เป็นขอบอะลูมิเนียม ส่วน iPhone 13 Pro Max เป็นขอบสแตนเลสสตีล มาในดีไซน์แบนราบทั้งคู่ มีความบางเท่ากัน 7.65 มิลลิเมตร ติดตั้งปุ่มด้านข้างสำหรับเปิด/ปิดหน้าเครื่อง หรือปลุกหน้าจอ
อีกข้างมีปุ่มตัดเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง และช่องใส่ถาดซิม
ด้านบนถูกปล่อยให้เรียบแบนไม่มีตำแหน่งไมโครโฟน เนื่องจาก Apple ติดตั้งไมโครโฟนไว้ที่ด้านล่าง, ด้านหลัง (รวมกับระบบกล้อง) และ ด้านหน้า (บริเวณลำโพงหูฟัง)
ด้านล่างยังคงใช้พอร์ตเชื่อมต่อ Lightning ประกบข้างด้วยไมโครโฟน และลำโพงสเตอริโอ
ดีไซน์โดยรวมของ iPhone 13 ให้ความสวยงาม มีความสดใสและยังดูดี ส่วน iPhone 13 Pro Max นั้นจะให้ความสวยงามพรีเมียมมากกว่า และเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จะพบว่ามีรอยบากบนหน้าจอเล็กลง กรอบกันชนกล้องหลังใหญ่ขึ้น และให้สีสันที่แตกต่างกัน
จอภาพ Super Retina XDR ทั้งคู่ส่วน iPhone 13 Pro Max จะมาพร้อม ProMotion 120Hz
iPhone 13 Pro Max เป็น iPhone รุ่นแรก ที่ใช้จอแสดงผล Super Retina XDR ห้ความคมชัดด้วยเทคโนโลยี OLED มาพร้อม ProMotion ซึ่งรองรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอสูงสุด 120Hz มาในขนาด 6.7 นิ้ว โดยหน้าจอจะปรับอัตราการรีเฟรชแบบไดนามิก หรือ ปรับตามคอนเท้นต์ที่กำลังแสดงผลบนหน้าจอ ในช่วง 10 – 120Hz เพื่อช่วยในการประหยัดแบตเตอรี่ และด้วยอัตราการรีเฟรชหน้าจอที่สูงถึง 120Hz ส่งผลให้ iPhone 13 Pro Max ตอบสนองการเลื่อนหน้าจอได้ราบรื่นกว่าเดิมอย่างชัดเจน และยังตอบสนองการเล่นเกมได้ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
และยังเป็นจอแสดงผลที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ด้วยความสว่างกลางแจ้งสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 25% เป็น 1,000 นิต และให้ความสว่างสูงสุด 1,200 นิต สำหรับการรับชมรูปภาพและวิดีโอ HDR อีกทั้งยังยังรองการแสดงผลแบบ True Tone รองรับขอบเขตสีกว้าง (P3) ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 และได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ขณะที่แผงด้านหน้าทั้งหมดได้รับการป้องกัรด้วย Ceramic Shield
ส่วน iPhone 13 นั้นจะใช้หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR ห้ความคมชัดด้วยเทคโนโลยี OLED มาในขนาด 6.1 นิ้ว มีความสว่างสูงสุด 800 นิต และความสว่างสูงสุด 1,200 นิต สำหรับการรับชมรูปภาพและวิดีโอ HDR รองการแสดงผลแบบ True Tone รองรับขอบเขตสีกว้าง (P3) ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 และได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ขณะที่แผงด้านหน้าทั้งหมดได้รับการป้องกัรด้วย Ceramic Shield เช่นกัน
iPhone 13 Pro Max ระบบกล้องหลังระดับโปรล้ำสมัยที่สุดของ iPhone
ในปีนี้ได้ทำการยกระดับกล้องระดับโปรใหม่ ทำให้ภาพถ่ายและวิดีโอได้ยอดเยี่ยมในทุกสภาพแสง ด้วยกล้องอัลตร้าไวด์มาพร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ที่กว้างขึ้น และเซ็นเซอร์ออโต้โฟกัสใหม่ที่รวมแสงได้มากขึ้นถึง 92 เปอร์เซ็นต์ กล้องไวด์มาพร้อมรูรับ แสงขนาด ƒ/1.5 ที่กว้างขึ้น พร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยพิกเซลขนาด 1.9μm ใหม่ จึงรวมแสงได้มากขึ้นถึง 2.2 เท่า และกล้องเทเลโฟโต้ใหม่ยังมาพร้อมทาง ยาวโฟกัส 77 มม และซูมแบบออปติคัล 3 เท่า จึงได้การจัดเฟรมที่ชิดขึ้นและได้ระยะ ภาพและวิดีโอที่ใกล้มากขึ้น ซึ่งทำให้ระบบกล้องหลัง 3 ตัว ที่มีขนาดโมดูลใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน วางรวมกับแฟลช True Tone พร้อม Slow Sync และ LiDAR Scanner
- กล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 ชุดเลนส์ 6 ชิ้น
- กล้องไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.5 ชุดเลนส์ 7 ชิ้น
- กล้องอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/1.8 ชุดเลนส์ 6 ชิ้น ให้มุมมองภาพ 120 องศา
กล้องไวด์ตัวหลักรองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (Sensor‑shift optical image stabilization) โดยเทคโนโลยี Sensor‑shift optical image stabilization ช่วยป้องกันการสั่นไหวของเซ็นเซอร์ แทนที่จะเป็นตัวเลนส์ ทำให้ภาพถ่ายคมชัดและวิดีโอมีความนิ่ง ถึงแม้ว่าผู้ใช้งานจะมือไม่นิ่งก็ตาม และยังได้รับเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นด้วยพิกเซลขนาด 1.9 ไมครอน ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone จึงมีจุดรบกวนน้อยลง ความไวชัตเตอร์เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีขนาดรูรับแสง f/1.5 ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (f/1.6) จึงถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งกว่าเดิมเกือบ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max
กล้องอัลตร้าไวด์ของ iPhone 13 Pro Max ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน ด้วยรูรับแสงขนาด f/1.8 ที่กว้างมากกว่าเดิม (รุ่นก่อนมีขนาด f/2.4) พร้อมด้วยระบบออโต้โฟกัสใหม่ที่มีประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยดียิ่งขึ้นถึง 92% ทำให้ภาพสว่างมากขึ้นและยังคมชัดยิ่งขึ้นด้วย และพัฒนาให้รองรับการถ่ายภาพ Macro ด้วยระยะโฟกัสที่ใกล้สุดเพียง 2 เซนติเมตร ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็กให้ดูใหญ่ มองเห็นรายละเอียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Macro กับวิดีโอได้ด้วยทั้งโหมด Slo‑mo และ Time‑lapse
ขณะที่กล้องเทเลโฟโต้ ซูมได้ไกลกว่ารุ่นก่อน โดยใช้เลนส์ 77 มม. ที่สามารถเข้าใกล้สิ่งที่ต้องการถ่ายได้มากขึ้นขณะบันทึกวิดีโอ และสามารถจัดเฟรมภาพถ่ายบุคคลแบบคลาสสิกได้ดียิ่งขึ้น รองรับช่วงซูมแบบออปติคัล 6 เท่า (ซูมเข้าแบบออปติคัล 3 เท่า ซูมออกแบบออปติคัล 2 เท่า) และ ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 15 เท่า
Ultra- Wide 1x 3x 15x
นอกจากจะได้รับระบบกล้องใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดของ iPhone 13 Pro Max ยังมาพร้อม Neural Engine ที่เร็วยิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) รุ่นใหม่ ที่ฝังมาจากชิปประมวลผล A15 Bionic ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพกล้อง ไม่ว่าจะเป็นการลดนอยซ์หรือจุดรบกวน รวมถึงแมปโทนที่ดียิ่งขึ้น
iPhone 13 ยกระดับกล้องคู่ขึ้นมาอีกขั้น
iPhone 13 ได้ถูกยกระดับกล้องคู่ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone โดยกล้องไวด์มีพิกเซลขนาด 1.7μm และรวมแสงได้มากขึ้น ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ได้ภาพที่มีนอยซ์ลดลงและสว่างมากขึ้น ระบบ OIS ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (Sensor‑shift optical image stabilization) เทคโนโลยีที่เคยอยู่ใน iPhone 12 Pro Max ตอนนี้ได้มาอยู่ใน iPhone 13 แล้ว กล้องอัลตร้าไวด์ รูรับแสงขนาด ƒ/2.4 และมุมมองภาพ 120° ทั้งหมดนี้ก็ส่งผลให้โมดูลกล้องคู่ใหญ่ขึ้นกว่า iPhone 12 มีการจัดวางเลนส์ในแนวทะแยง วางรวมกับแฟลช True Tone
- กล้องไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.6 ชุดเลนส์ 7 ชิ้น
- กล้องอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4 ชุดเลนส์ 5 ชิ้น ให้มุมมองภาพ 120 องศา
เซ็นเซอร์ตัวใหม่ในกล้องอัลตร้าไวด์ของ iPhone 13 ทำให้ส่วนที่มืดแสดงรายละเอียดได้มากขึ้นโดยที่มีนอยซ์ลดลง สไตล์ภาพถ่ายจะให้ผู้ใช้นำลักษณะที่ตนชื่นชอบมาใส่ใน กระบวนการจัดการภาพสุดล้ำเพื่อปรับแต่งภาพในแบบฉบับที่ต้องการได้อย่างที่ไม่เคย ทำได้มาก่อน โหมดภาพยนตร์จะนำโบเก้ที่สวยงามและโฟกัสแบบแร็คมารวมไว้ใน วิดีโอเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวที่สมจริงยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดมาในรูปแบบ HDR แบบ Dolby Vision ตอนนี้กล้องทุกตัวรองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด ระดับ 4K ที่ 60 fps
Photographic Styles
Neural Engine และ ISP รุ่นใหม่ที่มาพร้อมชิป A15 Bionic ช่วยให้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max รองรับฟีเจอร์ใหม่อย่าง Photographic Styles (สไตล์ภาพถ่าย) ช่วยให้ผู้ใช้งาน iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max นำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเอง มาใช้กับทุกภาพได้โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมของ Apple ส่วนค่าสำเร็จรูปและค่าที่ปรับแต่งไว้เองนั้น ก็ใช้งานได้กับตัวแบบและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่จะมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้องค์ประกอบสำคัญในภาพอย่างโทนสีผิวยังคงดูดีเช่นเดิม
Portraits Mode
การถ่ายภาพในเวลากลางคืน ก็ถูกปรับปรุงขึ้นอย่างมาก ด้วยขนาดรูรับแสงที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และได้รับประโยชน์จาก Neural Engine และ ISP รุ่นใหม่ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของ iPhone ที่กล้องทุกตัวบน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สามารถใช้งานโหมดกลางคืนได้ทุกตัว รวมถึงกล้อง Telephoto ขณะที่ Smart HDR ก็พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 4 จึงให้สีสัน คอนทราสต์ และการจัดแสงที่ดียิ่งขึ้น ทำให้ภาพถ่ายออกมามีความสมจริง ไม่ว่าจะถ่ายภาพหมู่หรืออยู่ในสภาวะแสงที่ไม่ดี นอกจากนี้ ยังรองรับ Night Mode Portraits ภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน โดยอาศัย LiDAR Scanner
ส่วนกล้องของ iPhone 13 นั้นถูกปรับปรุงให้ใช้โหมดกลางคืนได้ทั้งคู่ แถมโหมดกลางคืนยังดีขึ้นไปอีกขั้นในกล้องไวด์ด้วยเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ ขึ้น จึงได้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น และในตอนนี้ระบบจะสั่งให้โหมดนี้ทำงานในที่ที่มี แสงน้อยลงอีกด้วย
Cinematic Mode
ไม่เพียงแต่การถ่ายภาพนิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญ แต่การถ่ายวิดีโอด้วย iPhone 13 Pro Max รุ่นใหม่ในปีนี้ ก็ถูกยกระดับขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ Cinematic Mode หรือ โหมดภาพยนตร์ ที่สามารถบันทึกวิดีโอที่มีมิติความชัดตื้น เหมือนโหมดถ่ายภาพ Portrait รองรับการถ่ายวิดีโอผู้คน สัตว์เลี้ยง และ วัตถุ พร้อมเอฟเฟกต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม อีกทั้งยังเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่เหมือนถูกตัดมาจากส่วนหนึ่งของภาพยนตร์
Cinematic Mode รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที และหลังจากบันทึกวิดีโอแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถแก้ไขวิดีโอ เพื่อเปลี่ยนจุดโฟกัส ปรับระดับโบเก้ ในแอป Photos หรือ iMovie ใน iPhone ได้อีกด้วย
ProRes Video บน iPhone 13 Pro Max
Cinematic Mode พบได้ใน iPhone 13 Series ทั้ง 4 รุ่น แต่การถ่ายวิดีโอในรูปแบบ ProRes พบได้เฉพาะ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max เท่านั้น โดย ProRes เป็น Codec วิดีโอระดับมืออาชีพ เหมาะสำหรับใช้ในงานโฆษณา ภาพยนตร์ และรายการทีวี เนื่องจากเป็นรูปแบบที่มีสีสันแม่นยำกว่าและบีบอัดน้อยกว่า ซึ่งไม่เพียงแค่การบันทึกเท่านั้น แต่ iPhone ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวในโลก ที่สนับสนุนการใช้งานวิดีโอ ProRes ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากการบันทึก ตัดต่อ แล้วแชร์ในแบบ Dolby Vision หรือ ProRes ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาถ่ายโอนไฟล์ไปแก้ไขในคอมพิวเตอร์
การบันทึกวิดีโอในรูปแบบ ProRes รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที (ยกเว้น iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max รุ่นเริ่มต้นที่มีความจุ 128GB สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 1080p เท่านั้น) ส่วนการถ่ายวิดีโอปกติ และถ่ายวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 60 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้า TrueDepth
iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด มีขนาดรอยบากเล็กลงถึง 20% โดยมีการขยับลำโพงหูฟังขึ้นไปชิดขอบบน และยังคงรักษาระบบกล้อง TrueDepth กับ Face ID ไว้อย่างเดิม แต่ดูเหมือนภายในจะมีการเปลี่ยนแปลงเซ็นเซอร์บางตัวของระบบกล้อง TrueDepth ขณะที่ความละเอียดกล้องหน้ายังเป็น 12 ล้านพิกเซล เท่ากับรุ่นก่อน ขนาดรูรับแสงเท่าเดิม f/2.2
ถึงแม้โมดูลกล้องหน้าของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max อาจไม่ได้รับการปรับปรุง แต่ด้วย Neural Engine และ ISP รุ่นใหม่ที่มาพร้อมชิป A15 Bionic ก็ส่งผลให้คุณภาพของกล้องหน้าดีขึ้นกว่าเดิม และได้รับการปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ไม่พบในรุ่นก่อนอย่าง Photographic Styles แบบเดียวกับกล้องหลัง ขณะที่ Smart HDR ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าทั้งแบบปกติและการบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 60 เฟรมต่อวินาที รองรับโหมด Slo‑mo ความละเอียด 1080p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที, โหมด Time‑lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว รวมถึง Time‑lapse ในโหมดกลางคืน
กล้องหน้าของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ยังรองรับการถ่ายวิดีโอ Cinematic Mode ได้เช่นเดียวกับกล้องหลัง โดย Cinematic Mode รองรับความละเอียดสูงสุด 1080p ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที ขณะที่กล้องหน้าของ iPhone 13 Pro Max จะรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที (ยกเว้นรุ่นเริ่มต้นที่มีความจุ 128GB สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 1080p เท่านั้น)
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิปประมวลผล A15 Bionic เร็วเหนือคู่แข่ง 50%
iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ A15 Bionic ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน ผลิตบนเทคโนโลยี 5 นาโนเมตร โดย iPhone 13 มาพร้อม GPU แบบ 4-core ส่วน iPhone 13 Pro Max จะมาพร้อม GPU แบบ 5-core ให้ประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนในตลาดปัจจุบัน ส่วน CPU เป็นแบบ 6-core ประกอบด้วย 2-core ประสิทธิภาพสูงและ 4-core ประหยัดพลังงานสูง จึงมีความเร็วเหนือกว่าคู่แข่งสูงสุด 50% และรับมือกับงานที่ต้องประมวลผลหนักๆ ได้อย่างลื่นไหล
ชิปประมวลผล A15 Bionic ยังมาพร้อม Neural Engine แบบ 16-core สามารถประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที ช่วยในการประมวลผลการเรียนรู้ของระบบ Machine Learning ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการใช้งานฟีเจอร์ใหม่อย่าง Live Text (ข้อความในภาพ) ที่มาพร้อมกับ iOS 15
นอกจากนี้ ชิปประมวลผล A15 Bionic ยังได้รับการปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพขึ้น รวมถึงปรับปรุงโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ หรือ ISP (Image Signal Processors) ช่วยให้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ถ่ายภาพและวิดีโอได้คมชัดมากขึ้น ในทุกสภาพแสง และมีส่วนช่วยให้ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ รองรับโหมดถ่ายภาพใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใน iPhone รุ่นก่อน
ด้านความจุภายใน iPhone 13 มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ได้แก่ 128GB, 256GB และ 512GB ส่วน iPhone 13 Pro Max มีให้เลือกถึง 4 รุ่น ได้แก่ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ขณะที่รุ่นก่อนหน้ารองรับสูงสุด 512GB
รองรับเครือข่าย 5G (sub-6 GHz)
Apple นำเทคโนโลยี 5G มาสู่ iPhone ตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max จะรองรับเครือข่าย 5G (sub-6 GHz) ด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับประสบการณ์การเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายมือถือที่เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมออนไลน์ สตรีมวีดีโอความคมชัดสูง ดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ รวมไปภึงการใช้งาน SharePlay ใน iOS 15 ที่อนุญาตให้เจ้าของ iPhone รุ่นใหม่ชมภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังรองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศ และยังมีโหมด Smart Data ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาด โดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G
แบตเตอรี่ใช้งานยาวนานกว่าเดิม
ด้วยชิปประมวลผล A15 Bionic ที่ให้ประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น และมีรายงานว่า iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ได้รับความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ทั้งคู่ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ iPhone 13 Pro Max ถือเป็น iPhone ที่มีรองรับการใช้งานได้ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา ให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า iPhone 12 Pro Max ถึง 2.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 สามารถใช้งานใด้นานกว่า iPhone 12 ถึง 2.5 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน
iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max รองรับการชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วยอุปกรณ์ชาร์จ USB-C Power Adapter ขนาด 20W (หรือสูงกว่า) นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่น ยังสนับสนุนการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายผ่าน MagSafe และอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับการรับรองของ Qi แต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์การชาร์จต้องซื้อแยกต่างหาก หรือใช้ของเดิมถ้ามีอยู่แล้ว
iOS 15
iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด iOS 15 ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ Apple ได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่อนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ iPhone 13 Series
- FaceTime อาจไม่ใช่ฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็ทำอะไรได้มากขึ้น โดยรองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) ที่ให้เสียงสอดคล้องกับตำแหน่งของคู่สนทนา ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เหมือนคุยกันตรงหน้า และยังรองรับโหมด Portrait ที่ช่วยละลายฉากหลังในการโทรผ่าน FaceTime ไม่เพียงแต่นั้น FaceTime ยังได้รับฟีเจอร์ SharePlay สามารถแชร์คอนเท้นต์ต่างๆ ร่วมกับคู่สนทนาได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง รูปภาพ ก็สามารถชมคอนเท้นต์เหล่านั้นร่วมกับเพื่อนๆ ที่กำลังสนทนาได้
- Live Text (ข้อความในรูปภาพ) ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่อย่างแท้จริงที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 15 ช่วยให้ข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่บนป้ายต่างๆ รอบตัว หรือในหนังสือ กลายเป็นระบบอินเทอร์แอ็คทีฟทั้งหมด เพียงใช้กล้องหลังของ iPhone 13 ส่องดู ก็สามารถจัดการกับข้อความต่างๆ ได้ ทั้งการคัดลอกแล้ววาง ค้นหา และแปลภาษา โดยฟีเจอร์ Live Text ใช้ได้กับแอป Photos, Screenshot, Quick Look, Safari รวมถึงขณะดูภาพก่อนถ่ายในแอปกล้อง
- Maps แอปแผนที่ของ Apple มาพร้อมวิธีใหม่ๆ ในการนำทางและสำรวจโลกด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3D เส้นทางการเดินในแบบความจริงเสริม หรือ AR และค้นพบความงามทางธรรมชาติของโลกใบนี้ด้วยลูกโลก 3D แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ
- Weather แอปสภาพอากาศได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีทั้งสภาพอากาศและอุณหภูมแบบเต็มหน้าจอ มีภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหวนับพันๆ แบบ ที่ช่วยให้แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์ เมฆ และปริมาณฝนได้ตรงความเป็นจริง อีกทั้งยังมาพร้อมโมดูลแผนที่ใหม่ๆ การพยากรณ์ 10 วันที่อัปเดตให้ดียิ่งขึ้น
- Messages แอปข้อความใน iOS 15 ได้รับการปรับปรุงในแง่ของประสบการณ์การใช้งาน ด้วยฟีเจอร์ Shared with You ช่วยจดจำคอนเท้นต์ต่างๆ ที่ผู้ใช้งานได้รับในข้อความ ไปเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชั่นอื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เปิดดูคอนเท้นต์นั้นอีกครั้ง โดยเฉพาะคอนเท้นต์รูปภาพที่เป็นความทรงจำดีๆ และ Memoji ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน
- การแจ้งเตือนใน iOS 15 ได้รับการออกแบบใหม่ด้วยการเพิ่มรูปภาพของบุคคลในรายชื่อที่ติดต่อเข้ามา กรณีมีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นต่างๆ ก็มีการปรับไอคอนของแอปนั้นให้ใหญ่ขึ้น
- โหมด Focus เป็นอีกฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15 อาจจะดูคล้ายกับโหมดปิดเสียงหรือโหมดห้ามรบกวน Do Not Disturb แต่มีความยืดหยุ่นและฉลาดมากกว่า ช่วยให้ผู้ใช้งานมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน หรือ แค่อยากจะปลีกตัวออกจากโลกออนไลน์ชั่วคราว
นอกจากนี้ iOS 15 ยังได้รับการปรับปรุงฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ทั้งใน Siri, Mail และทั่วทั้งระบบ สามารถซ่อนที่อยู่ IP เพื่อไม่ให้ผู้ส่งรู้ตำแหน่งของผู้ใช้ หรือใช้ที่อยู่ IP นั้นเพื่อสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวผู้ใช้ รวมทั้งปรับปรุงฟีเจอร์ App Privacy Report รายงานความเป็นส่วนตัวของแอป สามารถดูได้ว่าแอปต่างๆ เข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง รูปภาพ กล้อง ไมโครโฟน และรายชื่อใน iPhone บ่อยแค่ไหน
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
ถึงแม้ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ จะไม่ได้รับการปรับปรุงด้านดีไซน์อย่างชัดเจน แต่ด้วยงานประกอบและวัสดุที่มีความพรีเมียม รวมถึงการใช้สีสันใหม่ๆ ก็ทำให้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max เป็น iPhone ที่มีความสวยงามหรูหราชวนสัมผัส แต่นอกเหนือจากงานออกแบบที่งดงาม iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ยังเป็น iPhone ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งระบบกล้องหลังชุดใหม่ ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ และยังขยายอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
สรุปแล้ว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ไม่เพียงแต่เป็น iPhone ที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ แต่ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดในตลาด เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ ประสิทธิภาพสูง ตอบสนองความเป็นที่สุดในทุกด้าน ทั้งการถ่ายภาพ เล่นเกม และใช้งานด้านความบันเทิง โดย Apple จะเริ่มวางจำหน่าย iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป มีราคาแตกต่างกันดังนี้
ราคา iPhone 13 mini
- ความจุ 128GB ราคา 25,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท
ราคา iPhone 13
- ความจุ 128GB ราคา 29,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท
ราคา iPhone 13 Pro
- ความจุ 128GB ราคา 38,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 58,900 บาท
ราคา iPhone 13 Pro Max
- ความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท