Apple พร้อมทำตลาด iPad mini รุ่นใหม่ล่าสุด ในประเทศไทยแล้ว โดยมีความพิเศษที่ดีไซน์ใหม่แบบยกเครื่องเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการขยายจอแสดงผลให้ใหญ่ขึ้น แต่ขอบจอบางลงกว่าเดิมทำให้พกพาได้สะดวกกว่า อีกทั้งยังได้รับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ A15 Bionic แบบเดียวกับที่พบใน iPhone 13 นอกเหนือจากนี้ยังมีจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง? ทีมงาน @Flashfly พร้อมแล้วที่จะรีวิวให้ชม
สเปก iPad mini รุ่นที่ 6
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว
- ชิปประมวลผล A15 Bionic
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล
- การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 (2.4/5GHz), Bluetooth 5.0, USB-C
- รุ่น Wi-Fi + Cellular รองรับ 5G, Gigabit LTE, UMTS, HSPA (ไม่รองรับ GSM/EDGE)
- เซ็นเซอร์ Touch ID, 3-axis Gyro, Accelerometer, Ambient light sensor, Barometer
- ระบบเสียง 2 ลำโพง
- ท่องเว็บผ่าน Wi-Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง
- ขนาดบอดี้ 195.4 x 134.8 x 6.3 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 293 กรัม (รุ่น Wi-Fi) / 297 กรัม (รุ่น Wi-Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Pink, Starlight, Purple และ Space Gray
แกะกล่อง iPad mini รุ่นที่ 6
กล่องของ iPad mini รุ่นใหม่ ยังถูกซีลด้วยพลาสติกใส มาในกล่องสีขาวที่หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพ iPad mini ขนาดใหญ่จนเกือบเต็มพื้นที่ หลังกล่องระบุความจุ ชื่อ iPad mini รุ่นที่ 6 เวอร์ชั่น Wi-Fi หรือ Wi-Fi + Cellular พร้อมให้รายละเอียดอุปกรณ์ในกล่อง
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับ iPad mini เป็นอย่างแรก ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นพลาสติกพร้อมลิ้นช่วยดึงออกจากกล่อง
ถัดลงมาจะพบซองเอกสาร คู่มือการใช้งานเบื้องต้น เอกสารรับประกันตัวเครื่อง ในรูปแบบภาษาไทย รวมถึงเอกสารจาก กสทช.
ชั้นล่างสุดเป็นช่องเก็บอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ USB-C Power Adapter ขนาด 20 วัตต์ และสายชาร์จ USB-C (ยาว 1 เมตร)
ดีไซน์ใหม่หมด
iPad mini รุ่นที่ 6 ถูกพลิกโฉมการออกแบบครั้งใหญ่นับตั้งแต่รุ่นแรกที่ออกมาในปลายปี 2012 โดยมีการขยายจอแสดงผลใหญ่ขึ้นเป็น 8.3 นิ้ว จากเดิมที่มีขนาด 7.9 นิ้ว แต่ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่ขอบจอบางลง ทำให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมของ iPad mini รุ่นล่าสุด เล็กกว่ารุ่นก่อนทั้งที่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิมด้วย ทำให้ iPad mini รุ่นที่ 6 พกพาได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
คุณภาพการผลิตและงานประกอบของ iPad mini รุ่นที่ 6 ยังคงสร้างความประทับใจได้เช่นเคย โดยใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิล 100% น้ำหนักเบาเพียง 293 กรัม จากรุ่นก่อนที่มีน้ำหนัก 300.5 กรัม ส่วนขอบรอบด้านแบนราบตามสไตล์ iPad Pro หรือ iPad Air รุ่นใหม่ และมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีม่วง, สีชมพู, สตาร์ไลท์ และ สีเทาสเปซเกรย์
ด้านหน้ามาพร้อมจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) แต่ไม่ได้แถมมาให้ ที่น่าสนใจก็คือการออกแบบใหม่ที่ทำให้ขอบจอแคบลงรอบด้าน ทำให้มีขนาดตัวเครื่องโดยลงเล็กกว่ารุ่นก่อน ทั้งที่จอใหญ่ขึ้น
สาเหตุที่ iPad mini รุ่นที่ 6 จอใหญ่ขึ้น แต่ขนาดตัวเครื่องเล็กลง นอกจากจะเป็นเพราะพื้นที่ขอบจอบางลงแล้ว ยังเป็นเพราะการถอดปุ่มโฮมใต้หน้าจอออกไป ทำให้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ถูกย้ายออกไปด้วย
Touch ID ไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกย้ายไปไว้ที่ขอบด้านบน รวมกับปุ่มเพาเวอร์ขนาดใหญ่ แตะใช้งานได้อย่างถนัด ที่ด้านบนยังมีปุ่มปรับระดับเสียง และลำโพงสเตอริโอด้วย
ด้านล่างก็มีลำโพงสเตอริโอเช่นกัน ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C จากเดิมที่ใช้พอร์ต Lightning จึงสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้กว้างขวางมากขึ้น
ถึงแม้ iPad mini รุ่นที่ 6 ดูเหมือนจะมีลำโพง 4 ตัว ด้วยการออกแบบช่องตะแกรงคู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง แต่ที่จริงมีลำโพงเพียง 2 ตัวเท่านั้น และจะให้เสียงสเตอริโอเมื่อใช้งานในโหมดแนวนอน
ขอบด้านข้างมีความบาง 6.3 มิลลิเมตร ตรงกลางเป็นตำแหน่งของช่องต่อแบบแม่เหล็ก สำหรับแนบติดกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะพบถาดใส่ซิมการ์ด (Nano-SIM) อยู่ทางฝั่งเดียวกัน
อีกข้างถูกปล่อยให้เรียบแบน ไม่มีปุ่มกดใดๆ แม้แต่ปุ่มปรับระดับเสียง ก็ถูกย้ายไปไว้ด้านบน
เหนือจอแสดงผล ยังติดกล้อง FaceTime HD มาให้เช่นเคย แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีความละเอียดสูงขึ้น มุมมองกว้างมากขึ้น เพื่อรองรับฟีเจอร์ Center Stage หรือ จัดให้อยู่ตรงกลาง
ด้านหลังมาพร้อมกล้องหลัก ความละเอียดสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อน ถัดลงมามีรูไมโครโฟน และ แฟลช True Tone แบบ Quad-LED โดยมีโลโก้ Apple จัดอยู่ตรงกึ่งกลาง
โดยรวมแล้ว iPad mini รุ่นที่ 6 มีดีไซน์ที่แตกต่างไปจาก iPad mini ทุกรุ่นก่อนหน้านี้ ด้วยการขยายจอแสดงผลให้ใหญ่ขึ้น ไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจออีกต่อไปแล้ว และยังมีส่วนขอบที่แบนราบ รวมถึงการเปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อจาก Lightning มาเป็น USB-C ทำให้ดูเหมือน iPad Air รุ่นที่ 4 ที่ถูกย่อขนาดให้เล็กลง
จอ 8.3 นิ้วใหญ่กว่าเดิม
iPad mini รุ่นที่ 6 มาพร้อมจอแสดงผล ขนาด 8.3 นิ้ว จากรุ่นก่อนที่มีขนาด 7.9 นิ้ว ถ้าคำนวณดูแล้วอาจจะดูเหมือนใหญ่ขึ้นเพียง 0.4 นิ้ว แต่นั่นเป็นการวัดในแนวทแยง ทำให้ขนาดที่เพิ่มขึ้นมาเพียง 0.4 นิ้ว ส่งผลให้มีพื้นที่จอแสดงผลกว้างมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน โดยที่มีขนาดตัวเครื่องโดยรวมเล็กลง
iPad mini รุ่นใหม่ล่าสุดใช้จอภาพ Liquid Retina พร้อมเทคโนโลยี IPS ให้ความชัดเจนแม้มองจากมุมกว้าง โดยมีความละเอียด 2266 x 1488 พิกเซล ความหนาแน่น 326 พิกเซลต่อนิ้ว ให้ความสว่าง 500 นิต รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ขอบเขตสีกว้าง (P3) ผ่านการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และเคลือบสารกันแสงสะท้อน
จอแสดงผลของ iPad mini รุ่นที่ 6 ยังสนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) โดยมีช่องต่อแบบแม่เหล็กที่ขอบด้านข้าง สำหรับแนบติดกับ Apple Pencil พร้อมชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil แบบไร้สาย เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น
Touch ID แบบใหม่
ปุ่มโฮมใต้หน้าจอที่เคยมีมาตั้งแต่รุ่นแรก ปัจจุบัน iPad mini รุ่นที่ 6 ไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจออีกต่อไปแล้ว ส่วน Touch ID ที่เคยถูกรวมไว้กับปุ่มโฮมตั้งแต่ iPad mini รุ่นที่ 3 ก็ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ โดยย้ายไปรวมกับปุ่มเพาเวอร์ด้านบน แบบเดียวกับ iPad Air รุ่นที่ 4 โดยทำหน้าที่ปลดล็อคเข้าใช้งาน iPad และยืนยันตัวตนสำหรับทำรายการซื้อจาก iTunes Store และ App Store รวมถึงรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวภายในแอป
กล้องหน้าอัลตร้าไวด์
กล้องหน้าของ iPad mini รุ่นที่ 6 ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกันทั้งความละเอียดสูงขึ้น และรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ โดยมาพร้อมกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมมองภาพ 122 องศา ขนาดรูรับแสง f/2.4 รองรับฟีเจอร์ Smart HDR 3 แบบเดียวกับกล้องหลัง มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง และสามารถบันทึกภาพถ่ายและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง
กล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มาพร้อมโหมด Time‑lapse ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว, ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
ฟีเจอร์ใหม่ Center Stage
ฟีเจอร์ Center Stage หรือ จัดให้อยู่ตรงกลาง เปิดตัวพร้อมกับ iPad Pro รุ่นล่าสุดที่ใช้ชิป M1 และตอนนี้ก็มาอยู่ใน iPad mini รุ่นที่ 6 แล้ว ช่วยให้ผู้ใช้งานวิดีโอแชทผ่าน FaceTime ด้วยกล้องหน้า Ultra Wide ที่ให้มุมมองภาพ 122 องศา โดยฟีเจอร์ Center Stage จะช่วยแพนกล้องให้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีคนช่วยถือ และถ้ามีบุคคลคื่นเข้ามาอยู่ในเฟรมด้วย Center Stage ก็สามารถตรวจจับได้ และจะซูมออกเพื่อให้ผู้ใช้งานกับเพื่อนได้ร่วมเฟรมเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้อาศัย Machine Learning หรือการเรียนรู้ของระบบขั้นสูง จึงไม่ต้องมีใครมาคอยถือ iPad และช่วยควบคุมกล้องแต่อย่างใด
กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล
กล้องหลังของ iPad mini รุ่นที่ 6 ได้รับการปรับปรุงขึ้นอย่างมกาเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน มาพร้อมกล้อง Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.8 จากรุ่นก่อนที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ทำให้ iPad mini รุ่นใหม่ถ่ายภาพได้คมชัดขึ้น โดยเฉพาะภาพถ่ายในสภาพแสงน้อย อีกทั้งยังมีแฟลช True Tone แบบ Quad-LED ติดตั้งมาให้ด้วย
กล้อง Wide ของ iPad mini รุ่นใหม่ ประกอบด้วยชุดเลนส์ 5 ชิ้น สามารถซูมได้สูงสุด 5 เท่าแบบดิจิทัล ใช้ระบบออโต้โฟกัสแบบ Focus Pixels มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ รองรับโหมด Panorama (สูงสุด 63MP), Burst (โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง) และบันทึกภาพถ่ายและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง
นอกจากนี้ iPad mini รุ่นที่ 6 ยังได้รับประโยชน์จาก ISP ใหม่ในชิป A15 Bionic ทำให้รองรับ Smart HDR 3 ซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพโดยการกู้คืนรายละเอียดในส่วนที่เป็นเงามืดและมีความสว่างสูง
สำหรับการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มาพร้อมโหมด Time‑lapse ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว, Slo‑mo (ความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ 240 เฟรมต่อวินาที), ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (4K, 1080p และ 720p)
ขุมพลังจากชิป A15 Bionic
iPad mini รุ่นที่ 6 ได้รับการเปิดตัวทางการพร้อมกับ iPhone 13 series และยังได้รับชิปประมวลผลรุ่นเดียวกันด้วย นั่นคือชิป A15 Bionic ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 40% และ GPU แบบ 5-core ให้ประสิทธิภาพกราฟิกสูงขึ้นถึง 80% อีกทั้งยังมาพร้อม Neural Engine แบบ 16-core และตัวเร่งความเร็วสำหรับ ML ใหม่ใน CPU ที่สามารถประมวลผลการทำงานด้านการเรียนรู้ของระบบที่เร็วขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับ iPad mini รุ่นก่อนหน้า
ด้วยประสิทธิภาพของชิป A15 Bionic ช่วยให้ iPad mini รุ่นที่ 6 ตอบสนองการใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อวิดโอ 4K เล่นเกมที่เน้นกราฟิกสวยงามสมจริง รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะแต่งเพลง แอปเกี่ยวกับการออกแบบ ไปจนถึงแอปที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของนักบิน และแพทย์
นอกจากนี้ Machine Learning ที่เร็วขึ้น 2 เท่า ยังช่วยให้ iPad mini รุ่นที่ 6 รองรับฟีเจอร์ Live Text ซึ่งอาศัยระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์ช่วยตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้งานทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ แม้แต่แปลข้อความจากรูปภาพเป็นภาษาต่างๆ ได้ถึง 7 ภาษา
การเชื่อมต่อมาตรฐานใหม่ Wi‑Fi 6 ,5G และ USB-C
iPad mini รุ่นที่ 6 ได้รับการปรับปรุงระบบเชื่อมต่อทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยรองรับ Wi‑Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax) ให้ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps จากรุ่นก่อนที่ใช้ Wi‑Fi 5 (802.11a/b/g/n/ac) ให้ความเร็วสูงสุด 866 Mbps อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 จำเป็นต้องอาศัย Wi‑Fi Router ที่รองรับมาตรฐาน 802.11ax ด้วย
สำหรับ iPad mini รุ่นที่ 6 ที่เป็นเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular ที่สามารถใส่ซิมการ์ดได้ ก็รองรับเครือข่าย 5G (ความเร็วสูงสุดถึง 3.5Gbps) จากเดิมที่รองรับสูงสุด 4G LTE และในรุ่นใหม่ล่าสุดยังรองรับ 4G LTE ระดับ Gigabit (สูงสุด 32 ย่านความถี่) จึงมีความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น เสถียรขึ้น โดยยังรองรับเฉพาะการใช้งานข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถใช้โทรได้ (นอกจากจะโทรผ่าน FaceTime หรือแอปแชทต่างๆ)
สำหรับการเชื่อมต่อโดยใช้สาย iPad mini รุ่นที่ 6 ได้เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C จากเดิมที่เป็น Lightning ช่วยให้สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุด 5Gbps เร็วกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 10 เท่า และรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม USB-C ได้กว้างขวางหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้องโปร อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก และจอภาพความละเอียดสูงสุดถึง 4K ช่วยยกระดับให้ iPad mini กลายเป็นอุปกรณ์สำหรับการทำงานขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์แบบมืออาชีพ ช่างภาพที่ต้องการเชื่อมต่อกับกล้องขณะถ่ายภาพหน้างาน หรือ แพทย์ที่ต้องตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นความถี่สูงจากระยะไกล และแน่นอนว่าผู้ใช้งานทั่วไป จะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
แบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องนาน 10 ชั่วโมง
ด้วยชิปประมวลผล A15 Bionic ทำให้ iPad mini รุ่นที่ 6 ประหยัดพลังงานมากขึ้น ให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน โดยใช้แบตเตอรี่ Lithium Polymer 19.3 Wh สามารถท่องเว็บผ่าน Wi-Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ขณะที่เวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะลดลงไป 1 ชั่วโมง
เมื่อถึงเวลาเติมพลังงาน โชคดีที่ในกล่อง iPad mini รุ่นที่ 6 แถมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่มาให้ด้วย (USB-C Power Adapter ขนาด 20 วัตต์) พร้อมสายชาร์จ USB-C ยาว 1 เมตร หรือจะชาร์จจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสาย USB‑C ก็ได้เช่นกัน
ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
iPad mini รุ่นที่ 6 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iPadOS 15 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ Apple ปล่อยออกมาให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้อัพเดทเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของ iPad ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ความอเนกประสงค์ของ iPad mini ให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าเดิม และมาพร้อมฟีเจอร์ๆ ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- ส่วนเลย์เอาท์วิดเจ็ตใหม่สำหรับหน้าจอ Home Screen และ App Library ช่วยให้สามารถปรับแต่ง iPad mini ให้เหมาะกับผู้ใช้งายรวมถึงจัดระเบียบแอปได้อย่างดี
- การจดโน้ตก็สามารถทำได้แล้วทั้งระบบ ด้วย Quick Note ที่มอบวิธีใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกันและจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพิมพ์ด้วย Apple Pencil
- แอป Translate มาอยู่บน iPad พร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ทำให้การสนทนาง่ายและเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม ซึ่งรวมไปถึงการแปลภาษาอัตโนมัติ และมุมมองแบบเห็นหน้าด้วย
- การทำงานแบบ Multitasking ที่ง่ายดายขึ้นกว่าเดิมด้วยการทำให้คุณสมบัติอย่าง Split View และ Slide Over สามารถค้นพบได้ง่ายขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น รวมทั้งทรงพลังกว่าเดิม
- ฟีเจอร์ Live Text ซึ่งใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพแล้วให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายหน้าร้านอาจแสดงหมายเลขโทรศัพท์และตัวเลือกให้โทรไป
- Swift Playgrounds 4 เพิ่มความสามารถในการสร้างแอป iPhone และ iPadแล้วส่งแอปเหล่านั้นไปยัง App Store ได้โดยตรง
- การโทร FaceTime เพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่ใช้ร่วมกันเมื่อโทร FaceTime ด้วย SharePlay ฟังเพลงด้วยกัน รับชมภาพยนตร์ หรือรายการทีวีไปพร้อมกับเพื่อนๆ หรือจะแชร์หน้าจอแบบเรียลไทม์ในระหว่าง FaceTime
- แถบปุ่มลัดคีย์บอร์ดที่ได้รับการออกแบบใหม่และมุมมองปุ่มลัดคีย์บอร์ดใหม่จะทำให้การใช้คีย์บอร์ดภายนอกทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
iPad mini รุ่นที่ 6 ได้รับการยกเครื่องใหม่หมด ทั้งดีไซน์ และ ประสิทธิภาพ สำหรับใครที่ใช้ iPad mini รุ่นก่อนหน้านี้ และต้องการเปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ล่าสุด ถือเป็นการอัพเกรดที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ด้วยชิปประมวลผลที่ทรงพลัง A15 Bionic ระบบกล้อง 12 ล้านพิกเซล ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง สามารถใช้ถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ iPad mini รุ่นที่ 6 รองรับการทำงานด้านตัดต่อวิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบในเครื่องเดียว
สรุปแล้ว iPad mini รุ่นที่ 6 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการ iPad ประสิทธิภาพสูง ในขนาดที่พกพาสะดวก ตอบสนองการทำงานรอบด้าน ตั้งแต่การใช้งานด้านความบันเทิงทั่วไป ไปจนถึงการเล่นเกมที่มีกราฟิกคุณภาพสูง และแอปพลิเคชั่นระดับมืออาชีพ โดยมีพอร์ต USB-C ที่ช่วยขยายการใช้งาน iPad mini รุ่นที่ 6 ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ราคา
iPad mini รุ่นที่ 6 เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย 30 กันยายน 2564 เป็นวันแรก แต่ช่วงแรกยังมีให้เลือกเฉพาะ Wi-Fi เท่านั้น มาในสีชมพู สีสตาร์ไลท์ สีม่วง และ สีเทาสเปซเกรย์ มีตัวเลือกและราคาแตกต่างกันดังนี้
- iPad mini รุ่นที่ 6 รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 17,900 บาท
- iPad mini รุ่นที่ 6 รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 23,400 บาท
- iPad mini รุ่นที่ 6 รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 23,400 บาท
- iPad mini รุ่นที่ 6 รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 28,900 บาท
สำหรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) วางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 4,490 บาท และ Smart Folio สำหรับ iPad mini วางจำหน่ายในราคา 2,590 บาท มาในสีดำ สีขาว สีเชอรี่เข้ม สีอิงลิชลาเวนเดอร์ และ สีส้มอิเล็คทริค