หลังจาก realme GT Master Edition ได้รับการเปิดตัวทางการ ทีมงาน @Flashfly ก็พร้อมนำเสนอรีวิวให้อ่านทันที โดยสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีสเปกเทียบเท่าเรือธงอย่าง realme GT 5G ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ มาพร้อมสโลแกน “เหนือระดับแห่งความเร็ว” ชูจุดเด่นที่ดีไซน์แบบกระเป๋าเดินทาง (เฉพาะสีเทา Voyager Grey) ออกแบบโดย Naoto Fukasawa นักออกแบบชื่อดังแห่งวงการอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 778G 5G รองรับ ชาร์จเร็ว 65W SuperDart และให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดสูง 32 ล้านพิกเซล
สเปก realme GT Master Edition
- จอแสดงผล 120Hz, Super AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-display Fingerprint Sensor)
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G
- ความจำ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 128GB / 256GB
- กล้องหลัง 64MP AI Triple Camera
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth, NFC, USB Type-C
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 2.0 (บนพื้นฐาน Android 11)
- แบตเตอรี่ 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge
- มี 2 สีให้เลือก Voyager Grey และ Daybreak Blue
แกะกล่อง realme GT Master Edition
realme GT Master Edition ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีดำ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยลายเส้นสีเทาพาดเป็นแนวเฉียง หน้ากล้องติดชื่อสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ชัดเจน พร้อมโลโก้ 5G และวางโลโก้ realme ขนาดใหญ่ไว้ตรงขอบมุม
หลังกล่องระบุจุดเด่นไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ชิปประมวลผล Snapdragon 778G 5G, จอแสดงผล 120Hz Super AMOLED, ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge และดีไซน์บางเบา
ภายในกล่องจะพบซองเอกสารที่มีข้อความยินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัว realme ภายในซองเอกสารมีคู่มือ Quick Guide ระบุรหัสรุ่น RMX3363
ถัดลงมาเป็นชั้นวางสมาร์ทโฟนที่ได้รับการห่อหุ้มอย่างดี พร้อมระบุตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
เมื่อหยิบถาดรองสมาร์ทโฟนออกไป จะพบกับเคสดีไซน์พิเศษ ซึ่งแถมมากับตัวเลือก Voyager Grey โดยมีดีไซน์คล้ายกับด้านหลังของสี Voyager Grey ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าเดินทาง ผลิตด้วยวัสดุ TPU
เคสที่แถมมาให้วางอยู่ในช่องเดียวกับอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 65W SuperDart Charge
สายชาร์จถูกเก็บแยกไว้อีกช่อง พร้อมกับเข็มจิ้มถาดซิมการ์ด ที่แนบไว้กับแผ่นกระดาษ
ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลก
realme GT Master Edition ที่เปิดตัวในประเทศไทย มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Daybreak Blue และ Voyager Grey โดยสีที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิวคือสี Voyager Grey มีความพิเศษที่ใช้วัสดุหนังวีแกน และถูกดีไซน์มาให้ดูเหมือนกระเป๋าเดินทาง ซึ่งออกแบบโดย Naoto Fukasawa นักออกแบบชื่อดังแห่งวงการอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น
Naoto Fukasawa กล่าวว่า “การเดินทางมีบทบาทสำคัญในชีวิตของฉัน ทำให้ฉันได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ในโลกและการออกแบบที่แท้จริงคืออะไร ฉันต้องการออกแบบสมาร์ทโฟนสำหรับทุกคน โดยเฉพาะสำหรับคนที่คิดบวก กระตือรือร้น และมีชีวิตชีวา” จึงได้ออกแบบ realme GT Master Edition ให้ดูเหมือนกระเป๋าเดินทาง เพื่อเตือนให้ผู้ใช้งานคิดถึงการเดินทางทุกครั้งที่มองมายังสมาร์ทโฟน
สี Voyager Grey ใช้วัสดุหนังวีแกนสีเทา ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้สัมผัสเนียนนุ่ม เสริมด้วยแถบแนวนอนแบบกระเป๋าเดินทาง เพิ่มความสบายเมื่อจับถือ และยังมีลายเซ็นอันละเอียดอ่อนของ Naoto Fukasawa ซึ่งถูกแกะสลักด้วยกระบวนการระดับนาโน กำกับไว้ใต้โลโก้ realme
realme GT Master Edition ตัวเลือก Daybreak Blue มาในสีสันของรุ่งสางใช้เทคโนโลยี PICSUS®️ ที่ได้รับสิทธิบัตรของญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคการเคลือบนาโนลามิเนตเพื่อให้สมาร์ทโฟนมีความรู้สึกแวววาวแบบเมทัลลิก และเพื่อให้สามารถหักเหสีโฮโลแกรมในมุมต่างๆ ได้ สี Voyager Grey มีตัวเลือกเดียว RAM 8GB + ROM 128GB มีน้ำหนัก 180 กรัม และยังแถมเคสในดีไซน์เดียวกันมาให้ในกล่อง ขณะที่สี Daybreak Blue มี 2 ตัวเลือก RAM 8GB + ROM 128GB / 256GB และเบากว่าเล็กน้อย (น้ำหนัก 174 กรัม)
มุมมองด้านหน้าเต็มไปด้วยพื้นที่ของจอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ขอบจอรอบด้านบางเฉียบ และถูกเจาะหลุมไว้ที่มุมบนขวาของหน้าจอ สำหรับติดตั้งกล้องเซลฟี่ 32 ล้านพิกเซล ส่วนล่างของจอแสดงผล ยังติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย
ด้านหลังจะพบกับระบบกล้อง 3 ตัว 64MP AI Triple Camera วางเลนส์กล้องซ้อนกันในแนวตั้ง พร้อมแฟลช LED อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขอบด้านข้างมีความบาง 8.7 มิลลิเมตร ติดตั้งปุ่มเพาเวอร์ไว้ทางซ้ายของจอแสดงผล
อีกข้างมีถาดใส่ซิมการ์ด ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มระดับเสียง และปุ่มลดระดับเสียง
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง
ด้านล่างยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟน,พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C และ ลำโพง
ภายใต้การออกแบบที่สวยงาม realme ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพการผลิต ทำให้ realme GT Master Edition ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดมากกว่า 320 ครั้ง ตามมาตรฐานของ realme ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบกดปุ่มเปิด/ปิด 300,000 ครั้ง, ทดสอบกดปุ่มปรับระดับเสียง 150,000 ครั้ง, ทดสอบเปิด/ปิด ซ้ำๆ 4,000 ครั้ง, ทดสอบพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ด้วยการเสียบและถอดปลั๊ก 20,000 ครั้ง, ทดสอบการใช้งานในอุณหภูมิสูง 65 องศาเซลเซียส และความชื้นสูง 95% RH เป็นเวลา 14 วัน อีกทั้งยังถูกทดสอบที่อุณหภูมิสูงสุด -40 ~ 75 องศาเซลเซียส นานถึง 300 ชั่วโมง
จอแสดงผล 120Hz Super AMOLED
realme GT Master Edition มีจุดเด่นที่จอแสดงผล Super AMOLED ความละเอียด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ขนาด 6.43 นิ้ว ให้อัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ 91.7% แต่ที่น่าสนใจคือ รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และให้อัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate สูงสุดที่ 360Hz จึงเป็นจอแสดงผลที่เหมาะสำหรับการเล่นเกม และรับชมภาพยนตร์
สแกนนิ้วบนหน้าจอ
ในช่วงวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้การปลดล็อคสมาร์ทโฟนด้วยวิธีสแกนลายนิ้วมือมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าการสแกนใบหน้า เพราะไม่จำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัยออก ซึ่ง realme GT Master Edition ก็ได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้จอแสดงผล และสามารถเปลี่ยนรูปภาพแอนิเมชั่นในระหว่างสแกนนิ้วได้ 8 แบบ
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแสดงผลใน realme GT Master Edition ใช้โมดูลเจเนอเรชันใหม่ที่ไวต่อแสง เพิ่มตัวกรองความปลอดภัย ซึ่งอัพเกรดแสงที่ฉายจากสีเขียวเป็นสีขาวแบบเต็มสเปกตรัม ปรับปรุงมิติของการตรวจสอบและการรับรู้ ทำให้ประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยได้รับการปรับปรุงขึ้นอย่างมาก
กล้องหลัง 3 ตัวความละเอียด 64 ล้านพิกเซล
อีกหนึ่งไฮไลท์ของสมาร์ทโฟน realme GT Master Edition อยู่ที่ระบบกล้องหลัง 3 ตัว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพจาก Kodak แบรนด์กล้องเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 130 ปี โดยมีกล้องหลักความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซล วางคู่กับกล้อง Ultra Wide และ Macro พร้อมด้วยแฟลช LED
- กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2 นิ้ว
- กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.3 ให้มุมมองกว้าง 119 องศา
- กล้อง Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ถ่ายภาพใกล้วัตถุในระยะ 4 เซนติเมตร
เมื่อเปิดเข้ามาในแอปกล้อง จะกับกับโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait, 64MP และยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกอีกมากมายเมื่อแตะที่ More ได้แก่ Starry Mode, Dual-View Video, Slo-mo, Time-Lapse, Movie, Pro/Expert, Panorama, Text Scanner, Ultra Macro และ Street
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า realme GT Master Edition ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพจาก Kodak จึงมีการเพิ่มโหมดถ่ายภาพ Street มาให้ พร้อมด้วยฟิลเตอร์ Street ซึ่งจำลองเอฟเฟกต์ฟิล์มจาก Kodak เพื่อให้เอฟเฟ็กต์ภาพมีความเปรียบต่างของสีที่ชัดเจน เพิ่มความคมชัดของภาพถ่ายแม้จับภาพในขณะสั่นด้วยฟังก์ชั่น DIS Snapshot และสามารถเปิดแอปกล้องเพื่อถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็วในขณะหน้าจปิดอยู่ผ่านฟีเจอร์ Quick Launch (กดปุ่มลดระดับเสียง 2 คร้ัง)
อีกทั้งยังมีฟิลเตอร์ Preset B&W Plus ใช้อัลกอริทึมลดการรบกวน เพื่อรปรับปรุงแสงและเงา โดยเฉพาะในบริเวณที่มีแสงน้อย และฟิลเตอร์ Preset Dramatic ช่วยเพิ่มรายละเอียดของวัตถุ ทำให้ภาพถ่ายสามารถสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนขึ้น
โหมดถ่ายภาพอื่นๆ คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Starry Mode สำหรับถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน, Ultra Macro สำหรับถ่ายภาพใกล้วัตถุเพื่อเน้นรายละเอียดบนพื้นผิวที่มีขนาดเล็กและซับซ้อน, โหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลาย, โหมด Night สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืน สามารถเปิด AI ให้ช่วยตั้งค่ากล้องให้ หรือใช้โหมด Pro เพื่อกำหนดค่าเอง
สำหรับการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุด 4K มีโหมด Slo-mo, Time-Lapse, Movie และ Dual-View Video สำหรับถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน
กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
realme GT Master Edition ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในหลุมบนหน้าจอ โดยมีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX615 รูรับแสง f/2.45 ให้มุมมองภาพ 85 องศา สามารถถ่ายภาพในความละเอียดสูงสุด 6560 x 4928 พิกเซล และยังมี AI Beauty ช่วยให้ภาพถ่ายเซลฟี่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่เซ็นเซอร์ของ Sony ช่วยให้คุณภาพของภาพดีขึ้น ความละเอียดสูงขึ้น ส่งผลให้ภาพเซลฟี่คมชัดเป็นพิเศษในทุกภาพ
ตัวอย่างภาพถ่ายกล่องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล่องหลัง
ประสิทธิภาพระดับเรือธง Snapdragon 778G 5G
realme GT Master Edition ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ Snapdragon 778G 5G ซึ่งทาง Qualcomm เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถูกสร้างบนกระบวนการผลิต 6 นาโนเมตร ของ TSMC ประกอบด้วยซีพียู Kryo 670 บนสถาปัตยกรรม 64-bit Octa-core ให้ความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงสุด 2.4 GHz เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 40% ขณะที่จีพียู Adreno 642L ให้การเรนเดอร์กราฟิกเร็วขึ้นสูงสุด 40% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน
เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด realme ยังได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำมาให้ด้วย โดยมีพื้นที่ระบายความร้อนภายในขนาดใหญ่ 1,729.8 ตารางมิลลิเมตร พร้อมแผงระบายความร้อนขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่ 12,387.4 ตารางมิลลิเมตร ครอบคลุมแหล่งความร้อนหลัก 100% จึงช่วยลดอุณหภูมิได้อย่างมาก และทำให้สมาร์ทโฟนอยู่ในสถานะที่มีประสิทธิภาพสูง
ด้านความจำ realme GT Master Edition ให้ RAM สูงสุด 8GB แต่รองรับเทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion สามารถจำลองพื้นที่ RAM ได้อีก 3GB โดยยืมพื้นที่มาจาก ROM ซึ่งมีให้เลือก 2 รุ่น 128GB และ 256GB (สี Voyager Grey มีตัวเลือกเดียว 128GB ขณะที่สี Daybreak Blue มี 2 ตัวเลือก 128GB และ 256GB)
ประสบการณ์การเล่นเกม
ด้วยฮาร์ดแวร์ระดับเรือธงทั้งชิปประมวลผล ระบบระบายความร้อน และความจำ ทำให้ realme GT Master Edition รองรับการเล่นเกม Honor of Kings หรือ RoV ด้วยคุณภาพกราฟิกสูงถึง 90 เฟรมต่อวินาที ส่วนเกมยอดนิยมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Call of Duty Mobile, Asphalt 9 ก็เล่นได้อย่างราบรื่น
realme เพิ่มความสนุกในการเล่นเกมด้วย Tactile Engine ใช้มอเตอร์แนวราบที่ปรับให้เข้ากับทุกด้านของระบบอย่างล้ำลึก ตอบสนองการเล่นเกมด้วยระบบสั่นสะเทือนแบบ 3 มิติ ทำให้การเล่นเกมสนุกสมจริง เหมือนมีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้น และยังควบคุมเกมได้อย่างลื่นไหลด้วยจอแสดงผล Super AMOLED ที่ให้อัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate สูงสุดที่ 360Hz และอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz
GT Mode
realme GT Master Edition มาพร้อม GT Mode สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ ด้วยการปรับการทำงานของซีพียูให้อยู่ระดับสูงสุด, เปิดใช้อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz, เปิดเอฟเฟกต์ภาพ Ultra-HD พร้อมปรับปรุงคุณภาพกราฟิก ให้ภาพคมชัดเสมือนจริงเป็นพิเศษ,เปิดระบบการสั่นแบบ 4D และยังมี Quick Start สามารถเข้าถึงเกมได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแค่นั้น realme ยังมอบประสบการณ์การเล่นเกมด้วยระบบจัดการอัจฉริยะ ได้แก่ HyperBoost ช่วยให้สมาร์ทโฟนเล่นเกมได้อย่างราบรื่นไม่กระตุก, Frame Boost ช่วยเร่งเฟรมเรท โดยการคาดการณ์สถานการณ์การต่อสู้แบบกลุ่มที่มีความเข้มข้นสูงอย่างชาญฉลาด และปล่อยประสิทธิภาพเต็มที่ล่วงหน้า และ Touch Boost เร่งการสัมผัสและนำประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่น
ระบบปฏิบัติการ realme UI 2.0
realme GT Master Edition ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย realme UI 2.0 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาตามความชอบของผู้ใช้งานที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Gen Z ทำให้ realme UI 2.0 มีตัวเลือกให้ผู้ใช้งานปรับแต่ง User Interface ได้ค่อนข้างอิสระ
realme UI 2.0 อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแพ็คเกจไอคอน เพื่อมาปรับแต่งไอคอนให้ตรงกับความชื่นชอบส่วนตัว และสามารถกำหนดลักษณะของ User Interface ด้วยชุดสี 5 แบบ และสีเดียว 10 สี
ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge
realme GT Master Edition รองรับการใช้งานที่ยาวนานตลอดทั้งวัน และสนุกกับเกมได้หลายชั่วโมง ด้วยแบตเตอรี่แบบเซลล์คู่ที่มีความจุรวม 4,300mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 33 นาที (แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 65W SuperDart มาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม) และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ในระหว่างเล่นเกมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย (สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 38% ในระหว่างเล่นเกม 1 ชั่วโมง)
ด้านความปลอดภัย realme ใช้อัลกอริทึมการปรับแต่งอัจฉริยะ VCVT ช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพการชาร์จ และลดการสูญเสียความร้อนที่ไม่จำเป็นที่เกิดจากการชาร์จ และมาพร้อมการป้องกัน 5 ชั้น ตั้งแต่อะแดปเตอร์ไปยังตัวเครื่อง ได้แก่…
- อะแดปเตอร์ป้องกันการจ่ายไฟเกินกำลัง
- การป้องกันขณะชาร์จเร็ว
- ป้องกันการโอเวอร์โหลดอินเทอร์เฟซ
- ป้องกันกระแสไฟเกินและแรงดันไฟฟ้าเกิน
- การป้องกันขณะรวมแบตเตอรี่
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
realme GT Master Edition เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟนเรือธง realme GT 5G ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ แต่ไม่ต้องการจ่ายแพงเพื่อให้ได้ชิปประมวลผล Snapdragon 888 5G เพราะ Snapdragon 778G 5G ที่อยู่ใน realme GT Master Edition ก็ตอบสนองการเล่นเกมได้เพียงพอแล้ว
realme GT Master Edition ยังมีดีไซน์ที่สวยงามไปอีกแบบ โดยเฉพาะสี Voyager Grey ที่ออกแบบโดย Naoto Fukasawa นักออกแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่น ใช้วัสดุหนังวีแกนสีเทา ดีไซน์จากกกระเป๋าเดินทาง มาพร้อมเคส TPU ที่ให้ทั้งความทนทาน และสัมผัสนุ่มมือ อีกทั้งยังมีลวดลาย 3D ที่ถอดแบบมาจากดีไซน์ของ Naoto Fukasawa
นอกจากนี้ realme GT Master Edition ยังมีกล้องหน้าความละเอียดสูง ถูกใจคนรักการถ่ายภาพเซลฟี่ ขณะที่ระบบกล้องหลังก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพจาก Kodak ที่มีฟิลเตอร์ให้เลือกมากมายเพราะสำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีท โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อกล้องโปรแพงๆ
สำหรับราคาของ realme GT Master Edition Series ในประเทศไทย มาพร้อมกัน 2 ราคากับ 2 ความจุ ได้แก่
- ความจุ 8+128 GB มาในราคาเพียง 13,990 บาท
- ความจุ 8+256 GB มาในราคาเพียง 15,990 บาท
โดยจะวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 4 กันยายนนี้ พร้อมโปรโมชั่นและของแถมมากมาย ที่ realme Brand Shop ช่องทาง realme E-Commerce และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ