เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกับ OPPO Find X3 มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกอย่างก้าวกระโดด ถือเป็นยุคทองของการสำรวจอวกาศ ที่ไม่เพียงแต่เปิดโลกใหม่ให้กับมนุษยชาติ แต่ยังส่งผลต่อการสร้างแรงบันดาลใจในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกิดจากความสร้างสรรค์ ทั้งสถาปัตยกรรม การออกแบบตกแต่งภายใน และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
OPPO Find X3 Pro 5G จึงถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีความทันสมัย โดยสร้างขึ้นจากแก้วชิ้นเดียวที่ดูลื่นไหลเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกัน และจุดที่เด่นชัดที่สุดของการออกแบบ คือการที่มีกระจกโค้งไหลไปรอบๆ ตัวเรือนกล้องคู่ Gradient Arc Camera สร้างรูปลักษณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน จนได้รับรางวัล Red Dot Award ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต มาดูกันว่าอะไรคือเบื้องหลังของความสำเร็จนี้
การออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากอวกาศ
ทีมออกแบบ สร้างความโค้งบริเวณกล้องหลัง โดยเริ่มต้นด้วยการวาดเส้นโค้งนูน ส่วนโค้งรอบด้านของตัวกล้องให้สัมผัสที่ราบเรียบ พร้อมความเงางามแบบไร้รอยต่อจากด้านหลังของตัวเครื่อง
จุดตัดของส่วนโค้งที่ล้อมรอบกล้องนี้ ไม่สามารถวาดด้วยซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ และเป็นไปไม่ได้เลยในการสร้างภาพขึ้นมาด้วยความคิดแบบเดิมๆ อีกทั้งหากยังยึดติดวิธีการสร้างแบบเดิม จะทำให้ส่วนโค้งมีความไม่สม่ำเสมอ และจะทำให้พื้นผิวด้านหลังของ OPPO Find X3 Pro 5G มีแสงหักเหกระจัดกระจาย และเกิดแสงสะท้อนที่ยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ OPPO จะไม่ยอมให้เกิดขึ้น ความท้าทายนี้ บีบให้ดีไซน์เนอร์ของ OPPO Find X3 Pro 5G ต้องใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี ในการสร้างส่วนโค้งที่ไม่เพียงแต่เรียบสนิทโดยไม่มีเหลี่ยมคมเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้สะท้อนแสงมีความสว่างที่สม่ำเสมออีกด้วย
การออกแบบ Control points กว่า 2,000 จุด
เพื่อให้บรรลุการออกแบบที่เป็นไปไม่ได้ ทีมออกแบบของ OPPO เลือกใช้กระบวนการที่เรียกว่า “UV point mapping” ซึ่งเป็นการฉายภาพ 2 มิติ ลงบนพื้นผิวแบบ 3 มิติ จากนั้นจึงแบ่งพื้นผิวของส่วนโค้งออกเป็นจุดๆ มากกว่า 2,000 จุด ซึ่งแต่ละจุดสามารถปรับแต่งได้ทีละแบบแยกต่างหาก และการปรับแต่งแต่ละจุดต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ได้ส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบต่อเนื่อง
หลังจากการพื้นผิวที่มีความโค้งอย่างสมบูรณ์แบบออกมาแล้ว ทีมออกแบบของ OPPO ยังส่งต่อดีไซน์ไปให้ทีมวิศวกรช่วยวัดส่วนโค้ง เพื่อหาจุดบกพร่องหรือความผิดเพี้ยนของส่วนโค้ง แต่ก็ไม่ใช่งานที่ง่ายเช่นกัน ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เรียกว่า “zebra analysis detection method” เป็นวิธีการฉายเส้นที่แม่นยำลงบนกระจก เพื่อวัดความเรียบของพื้นผิว หากเส้นที่ฉายมีการโค้งงอ นูนขึ้นหรือแสงมีการบิดเบือน นั่นหมายความว่ามีหลุมขนาดเล็กและสันนูนอยู่ในส่วนโค้ง
สร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากมั่นใจได้ถึงความเรียบที่สมบูรณ์แบบที่อยู่ในทุกๆ มิลลิเมตรของส่วนโค้ง OPPO ก็ยังต้องเผชิญกับความยากในกระบวนการผลิต เพราะวิธีการผลิตแก้วหลอมร้อนแบบดั้งเดิม ไม่สามารถสร้างส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบที่ดีไซน์เนอร์ของ OPPO สร้างขึ้นมาได้ เรียกได้ว่า OPPO กำลังจะสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ช่างประจวบเหมาะที่ OPPO มีประสบการณ์ในการผลิตเรือธงรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง OPPO Find X2 Pro Automobili Lamborghini Edition ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนโค้งที่เลียนแบบรูปร่างของรถซูเปอร์คาร์ในตำนาน OPPO จึงใช้เทคนิคเดียวกันมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้าง OPPO Find X3 Pro 5G ให้มีส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นก่อนจะเริ่มการผลิตได้ OPPO จำเป็นต้องสร้างแม่พิมพ์ที่สมบูรณ์แบบออกมาก่อน แต่ด้วยส่วนโค้ง 3 มิติ ทั้ง 4 ด้าน ทำให้แผงกระจกถอดออกจากแม่พิมพ์ได้ยาก จึงมีการสร้างและปรับรูปแบบของแม่พิมพ์ที่มีความแตกต่างกันถึง 100 แบบ ก่อนที่วิศวกรจะพอใจในประสิทธิภาพ
เมื่อสร้างแม่พิมพ์ออกมาแล้ว ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการตีขึ้นรูปแบบร้อน (hot forging process) โดยใช้แม่พิมพ์ที่ถูกแกะสลักมาจากกราไฟท์ วางลงพร้อมกับแก้วในเตาหลอมอุณหภูมิ 700 องศา ทำให้แก้วนิ่มและอ่อนตัวลง จากนั้นจึงบีบอัดด้วยเครื่องหล่อเพื่อสร้างส่วนโค้งที่แม่นยำ ซึ่งมาจากแรงงานคนจำนวนมากที่ใช้เวลานับไม่ถ้วน และผลที่ได้นั้นใกล้เคียงกับฝาหลังกระจกแบบธรรมดาอย่างน่าทึ่ง
กระบวนการทั้งหมดนี้ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงวิศวกรรมและการผลิต ต้องอาศัยการควบคุมที่แม่นยำอย่างยิ่งและมีการปรับแต่งอย่างละเอียดบนส่วนโค้ง เพื่อให้แน่ใจว่า OPPO Find X3 Pro 5G จะให้ความรู้สึกที่สมดุลและเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่ในมือ ผลลัพธ์ที่ได้คือความไหลลื่น แผ่นกระจกที่ราบเรียบต่อเนื่องมาพร้อมกับความแข็งแกร่งและความสวยงามที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้
ขั้นตอนสุดท้ายของความสมบูรณ์แบบ
กระบวนการผลิต OPPO Find X3 Pro 5G ยังไม่จบ ถ้ายังไม่ได้คำว่าสวยงามสมบูรณ์แบบ และเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เรือธงรุ่นล่าสุดของ OPPO ต้องให้ประสบการณ์ที่ดีทั้งการสัมผัสด้วยมือ และจ้องมองด้วยสายตา
OPPO ใช้เทคนิคป้องกันแสงสะท้อนแบบใหม่กับ OPPO Find X3 Pro 5G จนเกิดเป็นพื้นผิวด้านที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกของแก้วที่ลื่นไหลราวกับผ้าไหม แต่ยังให้ความทนทานต่อลายนิ้วมือที่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้มั่นใจได้ว่าพื้นผิวจะเรียบเนียนตลอดเวลา
OPPO Find X3 Pro 5G ในตัวเลือก Gloss Black ผ่านการเคลือบเซรามิกที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ให้ความคงทน ความลึกล้ำ และความงามอย่างเหลือเชื่อ ขณะที่สี Blue มาพร้อมพื้นผิวแบบ dual-tone ที่จะเปลี่ยนการสะท้อนของแสงให้เป็นคลื่นที่กระจายออก และมีรูปแบบของสีที่ชวนให้หลงใหล
อย่างไรก็ตาม การลงสีบนแผ่นกระจก กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญของวิศวกร เนื่องจากส่วนโค้งของ OPPO Find X3 Pro 5G ทำให้ฟิล์มสีมีรอยย่นและเกิดฟองอากาศที่ไม่น่ามอง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ วิศวกรของ OPPO จึงใช้กระบวนการเคลือบ OC0+ ซึ่งเป็นการพ่นหมึกที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม
กระบวนการเคลือบ OC0+ ช่วยสร้างความสม่ำเสมอ ทำให้ผิวเรียบช่วยเพิ่มแสงสะท้อนในแก้ว และยังลดโอกาสที่กระจกจะแตกร้าวหากทำหล่น โดย 50% ของฟิล์มเพิ่มเติมที่วางอยู่บนพื้นผิวของกระจกด้านใน จะช่วยป้องกันไม่ให้กระจกแตกหัก และไม่ก่อให้เกิดอันตรายหากได้รับความเสียหายจากแรงกระแทก
ผลตอบแทนจากการทำงานอย่างหนัก
ดีไซน์ของ OPPO Find X3 Pro 5G มีความงามที่เรียบง่าย แต่เบื้องหลังเกิดจากการทำงานที่น่าทึ่งและมีความซับซ้อน ทีมออกแบบและวิศวกรของ OPPO ต้องเผชิญความยากลำบากตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงกระบวนการผลิต แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่า เพราะสามารถคว้ารางวัล Red Dot Award: Product Design 2021 มาครอบครองได้
Red Dot Design Awards เป็นรางวัลด้านการออกแบบในระดับมืออาชีพที่มีชื่อเสียงที่สุดในระดับโลก โดยมีผลงานเข้าร่วมเพื่อพิจารณาด้านการออกแบบถึงหลายพันชิ้นที่มาจากทั่วโลก มากกว่า 60 ประเทศ
ที่สุดของสมาร์ทโฟนในยุคนี้
นอกจากความเป็นเลิศทางด้านดีไซน์ ความสำเร็จของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมาจากความเป็นที่สุดในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่จอแสดงผลพันล้านสี สามารถแสดงผลบนหน้าจอได้อย่างคมชัดและสมจริง บนหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว แบบ 1 Billion Colour Display QHD+ ปลุกสีสันในชีวิตมากกว่าที่เคย พร้อม Adaptive Refresh Rate 120Hz ที่ให้ความลื่นไหลไม่มีสะดุดและสามารถปรับการแสดงผลให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ได้
ไม่เพียงแค่นั้น OPPO Find X3 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ที่มาพร้อมกล้องหลักคู่ 1 พันล้านสี บนความละเอียด 50 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ Sony IMX766 บนกล้อง Wide-angle และ Ultra-wide-angle ทำให้สามารถจับภาพนิ่งหรือวิดีโอในสีสันพันล้านสีได้หลากหลายมุมมอง พร้อมให้มองโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนผ่านมุมมองแบบกล้องจุลทรรศน์ด้วย Microlens กำลังขยายสูงสุดถึง 60 เท่าจากที่ตามองเห็น สามารถเห็นได้แม้กระทั่งรายละเอียดของใยผ้าของเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ หรือรายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
OPPO Find X3 Pro 5G ยังให้ประสิทธิภาพสูง ด้วยชิปประมวลผลระดับเรือธง Qualcomm Snapdragon 888 ความจำ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 256GB รองรับเกมที่ต้องใช้สเปกสูงที่สุดได้ พร้อมประมวลผลระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ในขณะที่ประหยัดพลังงานและสามารถควบคุมอุณหภูมิตัวเครื่องได้อย่างดี อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Dual mode ให้ความเร็วที่เสถียรแม้จะใช้งานในสถานที่ที่หลากหลาย
นอกจากนี้ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4500mAh บนดีไซน์บางเฉียบ และสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที และชาร์จไวแบบไร้สาย 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ชาร์จ 100% ในเวลาเพียง 80 นาที พร้อมรับรองความปลอดภัยจาก TÜV Rheinland Certified เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสบายใจ
สรุป
เรียกได้ว่า OPPO Find X3 Pro 5G เป็นยุคใหม่ของการออกแบบสมาร์ทโฟน ที่ผลักดันขีดจำกัดของการออกแบบและวิศวกรรมจากที่ไม่มีทางเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ จนออกมาเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงระดับไฮเอนด์ที่ต้องลองไปสัมผัสเครื่องจริงดูสักครั้ง เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ที่สวยงามพรีเมียมแล้ว ยังมีความทนทานต่อน้ำและฝุ่นละอองที่ระดับ IP68 พร้อมด้วยประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ ระบบกล้อง ชิปประมวลผล การเชื่อมต่อมาตรฐานล่าสุด แบตเตอรี่ และยังเป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในด้านเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
OPPO Find X3 Pro 5G พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคา 33,990 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ Gloss Black ผ่านการเคลือบฝาหลังแบบพิเศษ เพื่อให้มีการสะท้อนคล้ายเซรามิก ให้ความสง่างามในทุกองศา และ สีฟ้า Blue Matte ใช้วัสดุ Frost Matte ผิวด้าน ให้สัมผัสนุ่มนวลราวกับผ้าไหม พร้อมป้องกันรอยเปื้อนและรอยนิ้วมือได้อย่างดี