AirTag เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มใหม่ล่าสุดของ Apple โดยเป็นอุปกรณ์ติดตามของหาย ดีไซน์วงกลมแบนขนาดเล็ก สามารถแนบติดกับสิ่งของต่างๆ อย่างกระเป๋า และ กุญแจ ที่มักจะทำหายอยู่เป็นประจำ และยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย ตามรายงานด้านล่าง…
ขนาดเล็ก และใช้งานง่าย
AirTag มีขนาดเล็กพอๆ กับฝาขวด ดีไซน์เรียบง่าย และถ้าสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Apple ก็สามารถสั่งให้สลัก อิโมจิ ข้อความ หรือ ตัวเลข ได้หลายแบบ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
AirTag ได้รับการออกแบบมาให้ต้านทานน้ำในระดับ IP67 มีลำโพงในตัว เพื่อส่งเสียงแจ้งเตือน และใช้แบตเตอรี่ที่สามารถพอดเปลี่ยนได้เอง โดยให้อายุการใช้งานยาวนาน 1 ปี
นอกจากนี้ AirTag ยังใช้งานได้ง่ายมาก สามารถจับคู่กับ iPhone ได้อย่างสะดวกรวดเร็วแบบเดียวกับ AirPods ผู้ใช้งานเพียงแค่ตั้งชื่อให้กับ AirTag (อาจตั้งชื่อตามสิ่งของที่ต้องการติดตามตำแหน่ง) จากนั้นชื่อของ AirTag ก็จะแสดงที่แถบ Items ภายในแอพ Find My
มีระบบติดตามที่แม่นยำ
AirTag ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ติดตามของหายรุ่นแรกในตลาด แต่ Apple ก็ได้สร้างความแตกต่างและกลายเป็นจุดเด่นด้วยการติดตั้งชิป U1 ที่พบใน iPhone 11 และ iPhone 12 series ชิป U1 ใช้เทคโนโลยี Ultra Wide Band ช่วยให้การระบุตำแหน่งมีความแม่นยำมากขึ้น
เมื่อผู้ใช้งานเริ่มค้นหา AirTag ด้วยแอพ Find My ระบบจะใช้ข้อมูลที่ได้จากทั้งกล้อง, ARKit, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และไจโรสโคปประกอบกัน แล้วพาผู้ใช้ไปยังตำแหน่งของ AirTag โดยใช้ทั้งเสียง การสั่น และ ภาพในการนำทาง
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนฟีเจอร์ Accessibility ช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีปัญหาทางสายตา สามารถเปิดใช้ VoiceOver เพื่อบอกทิศทางในการพาไปยัง AirTag เช่น “AirTag อยู่ห่างออกไป 3 เมตร ทางด้านซ้ายของคุณ”
เครือข่าย Find My
เครือข่าย Find My ของ Apple ตอนนี้รองรับการติดตามผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นด้วย ทำให้ปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์ที่ใช้เครือข่าย Find My ราวพันล้านเครื่อง
ถ้าหาก AirTag แยกจากเจ้าของ จะส่งสัญญาณที่ไม่ระบุตัวตนไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple ที่อยู่รอบๆ จากนั้นจะถ่ายทอดตำแหน่งของตัวเองผ่านอุปกรณ์ Apple ที่ใกล้ที่สุดไปยังเจ้าของในรูปแบบส่วนตัว โดย AirTag อาศัยชิป U1 และ Bluetooth ในการติดตามตำแหน่งเพื่อส่งคืนผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ
โหมดสูญหาย
ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า AirTag ให้เข้าสู่โหมดสูญหาย เพื่อให้มีการแจ้งเตือนเมื่อ AirTag อยู่ในระยะ หรือเมื่อเครือข่าย Find My หา AirTag เจอ และผู้ที่หาเจอก็สามารถใช้ iPhone หรืออุปกรณ์ที่รองรับ NFC แตะที่ AirTag เพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ที่แสดงหมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อเจ้าของ หากผู้ใช้งานระบุไว้
อุปกรณ์เสริม
AirTag ไม่มีกาว แม่เหล็ก และ ไม่มีรูสำหรับร้อยกับเชือกหรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้แนบติดกับสิ่งของได้ แต่ Apple ก็ได้ผลิตอุปกรณ์เสริมออกมาให้เลือกซื้อ ได้แก่ ห่วงคล้อง (โพลียูรีเทน) ราคา 1,190 บาท, ห่วงคล้อง (หนัง) ราคา 1,590 บาท และ พวงกุญแจ (หนัง) ราคา 1,390 บาท (AirTag ราคาชิ้นละ 990 บาท)
นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัท ที่ผลิตอุปกรณ์เสริมสำหรับ AirTag ออกมา รวมไปถึงแบรนด์แฟชั่นสุดหรูอย่าง Hermès
แบตเตอรี่
AirTag ใช้แบตเตอรี่แบบถ่านกระดุม CR2032 ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป และผู้ใช้งานก็สามารถหามาเปลี่ยนเองได้ง่ายๆ เพียงแกะด้านหลังออก โดยให้อายุการใช้งานนานกว่า 1 ปี
ความเป็นส่วนตัว
AirTag ได้รับการออกแบบมาเพื่อเก็บรักษาข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเป็นส่วนตัวและปลอดภัย โดยไม่มีการจัดเก็บข้อมูลและประวัติตำแหน่งที่ตั้งไว้ในตัวอุปกรณ์ AirTag และการสื่อสารกับเครือข่าย Find My ยังได้รับการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงมีเฉพาะเจ้าของเท่านั้นที่สามารถดูข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของ AirTag ได้ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวตนหรือตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ช่วยหา แม้แต่ Apple เอง
ทั้งนี้ AirTag จะวางจำหน่ายในราคาชิ้นละ 990 บาท แต่สามารถซื้อแบบชุดละ 4 ชิ้น ได้ในราคา 3,390 บาท
ที่มา – iPhoneHacks