ในที่สุด OPPO ก็ได้เปิดตัว OPPO Reno5 Series 5G ในประเทศไทยอย่างทางการแล้ว มาพร้อมสโลแกน Picture Life Together เน้นการถ่ายวิดีโอและถ่ายภาพ Portrait เป็นพิเศษ รวมไปถึงดีไซน์สวยงามสะดุดตา ตอบสนองการใช้งานได้อย่างลื่นไหล รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว และ พร้อมใช้งาน 5G ในประเทศไทยตั้งแต่แกะกล่อง
โดยก่อนหน้านี้ ทีมงาน @flashfly ได้ทำการแกะกล่องพร้อมพรีวิวฟีเจอร์เด็ดให้อ่านกันไปแล้ว ใครที่ต้องการทราบว่า OPPO Reno5 Series 5G มีอะไรมาให้ในกล่องบ้าง สามารถย้อนกลับไปชมกันได้ ก่อนจะเลื่อนลงมาอ่านรีวิวอย่างเต็มรูปแบบ
สเปกหลักของ OPPO Reno5
- รองรับ 4G
- จอแสดงผล AMOLED Full HD+ ขนาด 6.43 นิ้ว
- กล้องหลัง 4 ตัว 64 + 8 + 2 + 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล Snapdragon 720G
- ความจำ RAM 8GB + ROM 128GB
- รองรับการ์ด MicroSD สูงสุด 256GB
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi (2.4/5GHz), Bluetooth 5.1, USB Type-C, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- เซ็นเซอร์ Geomagnetic sensor, Proximity sensor, Optical sensor, Accelerometer, Gravity sensor, Gyroscope, Pedometer
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 บนพื้นฐาน Android 11
- แบตเตอรี่ 4310mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 50W Flash Charge
- ขนาดบอดี้ 159.1 x 73.3 x 7.7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 171 กรัม
สเปกหลักของ OPPO Reno5 5G
- รองรับ 5G
- จอแสดงผล AMOLED Full HD+ ขนาด 6.43 นิ้ว
- กล้องหลัง 4 ตัว 64 + 8 + 2 + 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล Snapdragon 765G
- ความจำ RAM 8GB + ROM 128GB
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi (2.4/5GHz), Bluetooth 5.1, USB Type-C, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- เซ็นเซอร์ Geomagnetic sensor, Proximity sensor, Optical sensor, Accelerometer, Gravity sensor, Gyroscope, Pedometer
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 บนพื้นฐาน Android 11
- แบตเตอรี่ 4300mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0
- ขนาดบอดี้ 159.1 x 73.4 x 7.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 172 กรัม
ดีไซน์สุดงาม Diamond Spectrum สะท้อนเป็นเฉดสีนับพัน
OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการออกแบบมาในสไตล์เดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกันมากจนไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ด้วยสายตา โดยแต่ละรุ่นมีให้เลือก 2 สี ที่แตกต่างกัน OPPO Reno5 มาในสี Fantasy Silver กับ Starry Black ส่วน OPPO Reno5 5G มาในสี Galactic Silver กับ Starry Black แต่ละสีมีความโดดเด่นที่กระบวนการสร้างพื้นผิวให้เกิดความสวยงามด้วยเทคนิคพิเศษไม่เหมือนใคร
ด้านหลังของสี Fantasy Silver และ Galactic Silver ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เรียกว่า Diamond Spectrum Process ทำให้พื้นผิวด้านหลังสะท้อนเฉดสีใหม่ออกมานับพันสี เมื่อมีแสงมาตกกระทบในมุมที่แตกต่างกัน และสะท้อนเฉดสีออกมาอย่างโดดเด่นโดยเฉพาะเฉดสีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีม่วง และ สีส้ม
OPPO Reno5 สี Fantasy Silver และ Reno5 5G สี Galactic Silver ยังใช้เทคนิคสร้างพื้นผิว Reno Glow อันเป็นเอกลักษณ์ของ OPPO เพิ่มความเปล่งประกายระยิบระยับพร้อมรายละเอียดสีที่แวววาวบนด้านหลังหลัง ดั่งมีเพชรนับล้านถูกฝังอยู่ในนั้น และยังช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
OPPO Reno5 และ Reno5 5G ยังมีสี Starry Black เป็นอีกตัวเลือก มาในโทนสีเข้มที่ดูสงบ แสดงถึงความมีรสนิยม และความอ่อนโยนได้เป็นอย่างดี และยังเผยให้เห็นแสงแวววับจางๆ ที่ส่องประกายผ่านค่ำคืนที่มืดสนิท
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมดีไซน์โค้งแบบ 3D ที่ด้านหลัง และขอบโค้ง 2.5D ที่ด้านหน้า ทำให้การจับถือมีความสบายมือ และใช้จอแสดงผลแบบ edge-to-edge ที่มีขอบจอบางเฉียบ โดยใช้เทคโนโลยี COF ทำให้ขอบจอด้านล่างมีความบางเพียง 3.98 มิลลิเมตร ถือว่าแคบลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ OPPO Reno4 ที่มีความบางของขอบด้านล่าง 5.53 มิลลิเมตร
ดีไซน์โดยรวมของ OPPO Reno5 Series 5G ยังเน้นไปที่ความบางเบา โดย OPPO Reno5 สี Starry Black มีความบางเฉียบ 7.7 มิลลิเมตร ส่วนสี Fantasy Silver บางเพียง 7.8 มิลลิเมตร ทั้ง 2 สี มีน้ำหนักเบา 171 กรัม (รวมแบตเตอรี่)
OPPO Reno5 5G มาพร้อมความบาง 7.9 มิลลิเมตร โดยสี Starry Black มีน้ำหนักเบา 172 กรัม (รวมแบตเตอรี่) และสี Galactic Silver มีน้ำหนัก 180 กรัม (รวมแบตเตอรี่)
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED Full HD+ ขนาด 6.4 นิ้ว ให้อัตราส่วนภาพ 20:9 อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 90Hz และใช้ดีไซน์แบบ Punch Hole Display เจาะหลุมไว้ที่มุมบน สำหรับติดตั้งกล้องหน้า โดย OPPO Reno5 ได้รับกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล และ OPPO Reno5 5G ได้รับกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
บริเวณกึ่งกลางเหนือขอบจอแสดงผลด้านบน เป็นตำแหน่งของตะแกรงลำโพงสำหรับใช้สนทนา
ด้านหลังมาพร้อมกล้อง 4 ตัว 64MP Quad Camera พร้อมแฟลช LED วางอยู่ในกรอบสี่เหลียมผืนผ้าที่มีมุมโค้งมน ดูลงตัวกับดีไซน์โดยรวมของด้านหลัง ส่วนโลโก้ OPPO จัดวางในแนวตั้งอยู่บริเวณมุมล่าง
ด้านซ้ายมือ มีถาดใส่ซิมการ์ด ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มเสียง และ ปุ่มลดเสียง
ถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO Reno5 เป็นแบบ Triple Slot รองรับ Dual Nano SIM และยังมีช่องใส่การ์ด MicroSD รองรับความจุสูงสุด 256GB (แต่ OPPO Reno5 5G ไม่มีช่องใส่การ์ด MicroSD)
ด้านขวามือมีปุ่มเพาเวอร์ ที่มีแถบเส้นสีเขียวบนปุ่ม เป็นเอกลักษณ์ของ OPPO มาแล้วหลายรุ่น
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่สอง ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง
ด้านล่างมีลำโพงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลัก และ ช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
หน้าจอ AMOLED 6.4 นิ้วรีเฟรช 90Hz
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ให้สีสัน 16.7 ล้านสี สนับสนุนขอบเขตสี DCI-P3 93.28%, sRGB 135.13% ในโหมด Vivid หรือ DCI-P3 73.72%, sRGB 100% ในโหมด Gentle จึงรองรับภาพยนตร์ความคมชัดสูงไม่ว่าจะเป็น Netflix HD หรือ Amazon Prime Video HD และยังให้เสียงที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบเสียง Dolby Atmos
รับชมภาพได้อย่างเต็มตาด้วยความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.4 นิ้ว ให้อัตราส่วนภาพ 20:9 อัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ 91.7% อัตราส่วนคอนทราสต์แบบไดนามิก 200,000:1 และยังผ่านการรับรองจาก SGS Eye Care จึงช่วยปกป้องดวงตาเมื่อจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
จอแสดงผลของ OPPO Reno5 และ Reno5 5G ยังให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 90Hz แสดงภาพได้ลื่นไหลกว่า 50% เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไปที่ให้อัตราการรีเฟรช 60Hz และให้อัตราตอบสนองการสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุด 180Hz จึงตอบสนองการสัมผัสหน้าจอและควบคุมเกมได้เร็วขึ้น
ระบบความปลอดภัย
OPPO Reno5 Series 5G สนับสนุนการปลดล็อคสมาร์ทโฟนด้วยการสแกนใบหน้า หรือ Face Unlock แต่ถ้าผู้ใช้งานสวมหน้ากากอนามัยเวลาอยู่ข้างนอก ก็สามารถใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือได้เช่นกัน โดยซ่อนเซ็นเซอร์ไว้ใต้หน้าจอ ปลดล็อคได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัย
OPPO Reno5 และ Reno5 5G ยังสามารถชำระสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน โดยใช้วิธีสแกนใบหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันตัวตนได้อย่างสะดวก
กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล
OPPO Reno5 มาพร้อมกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในหลุมที่เจาะไว้บริเวณมุมบนหน้าจอแบบ In-Display Selfie Camera ตามสไตล์สมาร์ทโฟนเรือธง รองรับโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait และ More เมื่อแตะเข้าไปที่ More จะพบกับโหมดถ่ายภาพและวิดีโอเพิ่มเติบ ได้แก่ AI Mixed Portrait, Dual-View Video, Slo-mo, Time-lapse, Pano และ Sticker
OPPO Reno5 5G ได้รับกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 ติดตั้งไว้ในหลุมที่มุมบนหน้าจอเช่นกัน รองรับโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait และ More เมื่อแตะเข้าไปที่ More จะพบกับโหมดถ่ายภาพและวิดีโอเพิ่มเติบ ได้แก่ Dual-View Video, Time-lapse, Pano และ Sticker
โหมด Photo มาพร้อม AI Beauty ปรับใบหน้าให้ดูดีขึ้นอย่างธรรมชาติ และสามารถเปิดใช้งาน HDR กับ Filter ได้จากแถบเครื่องมือด้านบน ส่วนโหมด Portrait มาพร้อมเอฟเฟกต์ Bokeh ละลายฉากหลัง เพื่อทำให้ใบหน้าบุคคลโดดเด่น
โหมด Night พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้สว่างคมชัด ผ่านกล้องความละเอียดสูง 44 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Ultra Night Selfie ช่วยปรับภาพให้มีความคมชัด และเพิ่มความสว่างให้กับพื้นหลังที่มีแสงสลัวและตัวบุคคลในภาพ
โหมด Video รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p (30 เฟรมต่อวินาที) มีโหมด Slo-mo ความละเอียด 1080p (120 เฟรมต่อวินาที) หรือ 720p (240 เฟรมต่อวินาที) ทั้งนี้ โหมด Video ของกล้องหน้า OPPO Reno5 ยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว เปิดใช้งานได้จากแถบเครื่องมือด้านบน แต่กล้องหน้าของ OPPO Reno5 5G ไม่รองรับโหมด Slo-mo และไม่มีระบบกันสั่น
Portrait Beautification Video
โหมด Portrait Beautification Video เป็นอีกจุดเด่นของ OPPO Reno5 ช่วยให้กล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอใบหน้าให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจจับโครงสร้างใบหน้าได้มากถึง 194 จุด เพื่อปรับแต่งให้ดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับการถ่ายภาพนิ่งด้วยโหมด Portrait ประกอบด้วย 5 ฟีเจอร์หลัก ดังต่อไปนี้
- Smart AI Recognition สามารถตรวจจับ เพศ อายุ และข้อมูลอื่นๆ ของวัตถุ เพื่อจัดหาเอฟเฟกต์ความงามที่ปรับแต่งได้
- อัลกอริทึม AI ที่สามารถปรับความสว่าง โดยอิงจากสภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อป้องกันแสงสว่างที่มากเกินไป และเพื่อให้สีผิวและสีสันของการแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาติ
- เครื่องมือปรับแต่ง 8 แบบ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถอินเตอร์เฟซการปรับแต่งความงาม เพื่อปรับแต่งภาพบุคคลแบบละเอียด เช่น โครงหน้า ขนาดตา และอื่นๆ
- Individualized Group Portraits ช่วยปรับแต่งภาพถ่ายกลุ่มของผู้ใช้งานให้ดูดีเป็นธรรมชาติ โดยผู้ชายและผู้หญิงจะมีเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกัน
- Auto Save การปรับแต่งต่างๆ จะถูกบันทึกโดยอัติโนมัติ เมื่อเปิดใช้งานเอฟเฟกต์ความงาม เมื่อเปิดใช้งานจะมีไอคอนหลอดไฟเล็กๆ และข้อความแสดงให้เห็น เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งาน
กล้องหลัง 4 ตัว 64 ล้านพิกเซล
OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัวความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซลทั้งของ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G โดยกล้องแต่ละตัวมีรายละเอียดดังนี้
- กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7 มุมมองกว้าง 80 องศา
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 มุมมองกว้าง 119 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 มุมมองกว้าง 89 องศา
- กล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 มุมมองกว้าง 89 องศา
OPPO Reno5 มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait และ More เมื่อแตะเข้าไปที่ More จะพบกับโหมดถ่ายภาพและวิดีโอเพิ่มเติม ได้แก่ Dual-view Video, Slo-mo, Time-lapse, AI Mixed Portrait, Expert, Extra HD, Pano, Text Scanner, Macro, Sticker, Soloop Templates สำหรับโหมดถ่ายภาพของ OPPO Reno5 5G จะคล้ายกับ OPPO Reno5 ทั้งโหมดถ่ายวิดีโอ Dual-view Video แต่จะไม่มีโหมด AI Mixed Portrait เท่านั้น
กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซลของทั้ง 2 รุ่นสามารถซูมได้ครบทุกระยะตั้งแต่ 0.6X (Ultra Wide), 1X, 2X, 5X, 10X และไกลสุด 20X แบบดิจิตอล สามารถเลือกใช้กล้อง Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ และเปิด HDR, AI Scene Enhancement, Filter ได้จากแถบเมนูด้านบน
OPPO ได้นำเทคโนโลยี Image-clear Engine (ICE) มาใช้กับกล้องหลังของสมาร์ทโฟน OPPO Reno5 Series 5G ช่วยเพิ่มความสามารถในการถ่ายรูปที่รวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพ Portrait ได้อย่างคมชัดและสวยงามในทุกที่ทุกเวลา และยังให้ความคมชัดถึงแม้จะถ่ายภาพในขณะกำลังเคลื่อนไหว
ICE ทำให้กล้องหลังของ OPPO Reno5 Series 5G สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้ชัดเจนขึ้น ถึงแม้จะกดถ่ายภาพแบบรวดเร็วและต่อเนื่องหลายช็อต เหมาะสำหรับถ่ายภาพการแข่งขันกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หรือการถ่ายภาพเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่น
โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพใบหน้าบุคคลให้โดดเด่นด้วยการละลายฉากหลัง สามารถปรับความเบลอของเอฟเฟกต์ Bokeh ได้ถึง 100 ระดับ และยังรองรับฟิลเตอร์ Neon Portrait และ AI Color Portrait ที่ทำให้ภาพถ่าย Portrait มีความน่าสนใจขึ้น
OPPO Reno5 ยังมีฟิลเตอร์ AI Color Portrait ที่ช่วยเปลี่ยนฉากหลังให้เป็นขาว-ดำ แต่ยังคงภาพสีให้กับตัวบุคคล ทำให้ได้ภาพ Portrait ที่โดดเด่นสะดุดตาอีกรูปแบบ สามารถใช้ได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า ขณะที่ OPPO Reno5 5G ไม่มีโหมดนี้
OPPO Reno5 สามารถถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนได้อย่างโดดเด่นด้วย Night Flare Portrait ที่ OPPO พัฒนาขึ้นมาสำหรับถ่ายภาพ Portrait ในเวลากลางคืนที่มีพื้นหลังเป็นแสงนีออน หรือวัตถุที่มีความสว่างขนาดเล็ก พร้อมเอฟเฟกต์ Bokeh ที่เป็นธรรมชาติ โดยมีกลไกในการช่วยซ้อนทับ Bokeh ดวงไฟบนพื้นหลัง ทำให้ได้ผลลัพธ์เหมือนถ่ายจากกล้อง DSLR
AI Scene Enhancement ช่วยให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่าย เพียงเปิดอัลกอริทึม AI ที่อยู่บนแถบเครื่องมือด้านบนในแอพกล้อง OPPO Reno5 ก็จะตรวจจับวัตถุหรือฉาก เพื่อปรับค่ากล้องให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น ความสมดุลของสี ความอิ่มตัว และ ความสว่าง โดย AI สามารถตรวจจับฉากหรือวัตถุได้มากถึง 22 แบบ อาทิ ชายหาด, ท้องฟ้า, ดอกไม้ไฟ, วิวทิวทัศน์, อาหาร, สนามหญ้า, ตอนกลางคืน, ในที่ร่ม, แสงไฟที่สว่างจ้า, พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์, ย้อนแสง, ดอกไม้, ต้นไม้, หิมะ, ข้อความ, ใบหน้าของมนุษย์, ฉากที่มีหลายใบหน้า เป็นต้น
โหมด Extra HD ทำให้กล้องหลังของ OPPO Reno5 Series 5G สามารถถ่ายภาพนิ่งในความละเอียดสูง 108 ล้านพิกเซล ให้ความคมชัดของภาพระดับ retina-level ให้รายละเอียดและพื้นผิวของภาพที่คมชัดมากขึ้น รวมถึงให้คุณภาพของภาพที่เหนือกว่า ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถขยายภาพหลายเท่าหรือครอปตัดภาพโดยที่ยังคงได้ภาพที่คมชัด การถ่ายภาพด้วยโหมด Extra HD เหมาะสำหรับช่างภาพมืออาชีพ ที่ต้องการนำภาพถ่ายไปแก้ไขเพิ่มเติมได้อย่างอิสระมากขึ้น
โหมดถ่ายภาพ Night ของกล้องหลัง OPPO Reno5 รองรับทั้งกล้องหลักและกล้อง Ultra Wide โดยจะเปิดใช้งาน Ultra Dark Mode ให้อัตโนมัติ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดมากๆ
โหมด Video ของ OPPO Reno5 สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K (30 เฟรมต่อวินาที) รองรับโหมด Slo-mo ความละเอียด 1080p (480 เฟรมต่อวินาที) หรือ 720p (960 เฟรมต่อวินาที) ซูมได้ 0.6X (Ultra Wide), 1X, 2X, 5X และไกลสุด 10X แบบดิจิตอล
ส่วน OPPO Reno5 5G ถ่ายวิดีโอ Slo-mo ความละเอียด 1080p (120 เฟรมต่อวินาที) หรือ 720p (240 เฟรมต่อวินาที) นอกจากนี้ยังมีมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Ultra Steady Video 3.0
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Ultra Steady Video 3.0 มีเฉพาะใน OPPO ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายวิดีโอได้อย่างราบรื่น ไม่กระตุก และมีคุณภาพสูง ซึ่งในสมาร์ทโฟน OPPO Reno5 5G จะประกอบด้วยโหมดกันสั่นถึง 3 โหมด ได้แก่ Front Steady Video สำหรับการถ่ายวิดีโอเซลฟี่ผ่านกล้องหน้า, Ultra Steady Video สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัก และ Ultra Steady Video Pro สำหรับการถ่ายวิดีโอโดยใช้กล้อง Ultra Wide
Dual-View Video
โหมด Dual-View Video ช่วยให้ OPPO Reno5 Series 5G สามารถใช้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังถ่ายวิดีโอได้พร้อมกัน สามารถปรับเลย์เอาท์ หรือ แบ่งหน้าต่างได้ 3 แบบ ได้แก่ Split (แบ่งหน้าต่างซ้าย-ขวา), Round (ภาพจากกล้องอีกตัวจะลอยอยู่ในหน้าต่างขนาดเล็กที่มีขอบมุมโค้งมน) และ Rectangle (ภาพจากกล้องอีกตัวจะลอยอยู่ในหน้าต่างขนาดเล็ก)
การแบ่งหน้าต่างแบบ Round หรือ Rectangle ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างคอนเท้นต์ได้ง่ายขึ้น สามารถใช้กล้องหลังบันทึกสิ่งที่กำลังรีวิวหรือสอนทำอะไรสักอย่าง ขณะเดียวกันก็ยังใช้กล้องหน้าถ่ายตัวเองในระหว่างสอนหรือรีวิวรวมอยู่ในเฟรมเดียวกัน ไม่ต้องเสียเวลาไปตัดต่อในคอมพิวเตอร์ หรือ จะใช้ Dual-view Video ในการบันทึกสถานที่ท่องเที่ยว พร้อมแทรกใบหน้าตัวเองขณะแนะนำสถานที่นั้นรวมอยู่ในฉากด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถย้ายหน้าต่าง Round หรือ Rectangle ไปวางในตำแหน่งอื่นได้อิสระ
AI Mixed Portrait
โหมด AI Mixed Portrait เป็นการนำ Double Exposure Effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอ สามารถนำวิดีโอจาก 2 ไฟล์ มาซ้อนทับกันด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวที่โดดเด่นและน่าสนใจ เช่น ถ่ายวิดีโอบุคคล ซ้อนทับฉากหลังที่เป็นวิวทิวทัศน์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โหมด AI Mixed Portrait พบได้เฉพาะ OPPO Reno5 เท่านั้น
วิธีใช้งานโหมด AI Mixed Portrait ให้เข้าไปที่แอพกล้อง จากนั้นแตะเข้าไปที่ More แล้วเลือก AI Mixed Portrait ในโหมดนี้ผู้ใช้งานต้องบันทึกฉากหลังก่อน หรือ เลือกจากวิดีโอที่มีอยู่แล้ว ความยาวไม่เกิน 15 วินาที เมื่อมีฉากหลังแล้ว ให้แตะ > เพื่อถ่ายวิดีโอ Portrait แล้วเลือกระหว่างโหมด Silhouette หรือ Blend ก่อนถ่ายวิดีโอความยาวไม่เกิน 15 วินาที ขั้นตอนสุดท้ายระบบจะรวมวิดีโอฉากหลังกับวิดีโอ Portrait เข้าด้วยกัน ซึ่งจะได้ภาพเคลื่อนไหวที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
AI Highlight Video
โหมด Video มีจุดเด่นที่ AI Highlight Video ฟีเจอร์แรกในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่สามารถเพิ่มคุณภาพของวิดีโอให้คมชัด สว่าง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อยหรือย้อนแสง
AI Highlight Video ประกอบด้วยอัลกอริทึม Ultra Night Video สามารถควบคุมฉากที่มีแสงน้อยได้อย่างชาญฉลาด ด้วยการปรับความสว่าง ความอิ่มสี และ ความคมชัด ในการถ่ายวิดีโอได้เป็นอย่างดี โดยจะเปิดใช้งานเมื่อมีการถ่ายวิดีโอในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้ง
AI Highlight Video ยังใช้อัลกอริทึม Live HDR เมื่อพบว่าผู้ใช้งานกำลังถ่ายวิดีโอย้อนแสง หรือในฉากที่มีสภาพแสงแตกต่างกัน ที่มีทั้งส่วนมืดและสว่าง รวมอยู่ในฉากเดียวกัน เช่น ภายในอาคารที่มีแสงน้อย แต่มีช่องหน้าต่างและประตูที่มีแสงสว่างผ่านเข้ามา
AI Color Portrait
AI Color Portrait พบได้ใน OPPO Reno5 เป็นฟิลเตอร์ที่ช่วยเปลี่ยนฉากหลังให้เป็นขาว-ดำ แต่ยังคงภาพสีให้กับตัวบุคคล ทำให้ได้ภาพ Portrait ที่โดดเด่นสะดุดตาอีกรูปแบบ และยังสามารถใช้ได้ทั้งการถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ รวมถึงใช้กับกล้องหน้าได้ด้วย
การถ่ายภาพนิ่งด้วยฟิลเตอร์ AI Color Portrait ให้เข้าไปที่แอพกล้อง เลือกโหมด Portrait แล้วเปลี่ยน Filters เป็น AI Color Portrait ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยฟิลเตอร์ AI Color Portrait ให้สลับไปโหมด Video ก่อน จากนั้นก็เลือก Filters เป็น AI Color Portrait
Monochrome Video
Monochrome Video เป็นอีกฟิลเตอร์ที่มีอยู่ใน OPPO Reno5 สำหรับการถ่ายวิดีโอ โดยกล้องจะถ่ายวิดีโอในโทนขาว-ดำ ยกเว้นฉาก วัตถุ หรือ เสื้อผ้า ที่มีสีตามฟิลเตอร์ที่เลือก ได้แก่ สีแดง Crimson, สีเขียว Forest Green และ สีฟ้า Sky Blue
Soloop Templates
สร้าง Vlog ด้วย Soloop Templates แอพพลิเคชั่นตัดต่อวิดีโออัจฉริยะที่มีอยู่ใน OPPO Reno5 ช่วยให้งานตัดต่อวิดีโอเป็นเรื่องง่ายและทำได้จบในสมาร์ทโฟน ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วย โดยมีแม่แบบ หรือ Templates ให้เลือกใช้งานได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะสร้างวิดีโอให้ดูเหมือนมืออาชีพแบบ Influencer หรือจะใช้ Auto Generate สร้างวิดีโอโดยอัตโนมัติ เพียงเลือกฟิลเตอร์ และ เพลงประกอบ ก็สามารถสร้างภาพยนตร์สั้นได้แล้ว
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง
ประสิทธิภาพ Snapdragon 765G
OPPO Reno5 5G ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร บนสถาปัตยกรรม 64-bit ประกอบด้วยซีพียู Kryo 475 ให้ความเร็วสูงสุด 2.4GHz และจีพียู Adreno 620 พร้อมด้วย Artificial Intelligence Engine รุ่นที่ 5 และยังมี Snapdragon Elite Gaming ช่วยให้สมาร์ทโฟนตอบสนองการเล่นเกมอย่างรวดเร็วและราบรื่น ด้วยเสียงและกราฟิกระดับโรงภาพยนตร์
OPPO Reno5 ได้รับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 720G ผลิตด้วยเทคโนโลยี 8 นาโนเมตร บนสถาปัตยกรรม 64-bit ประกอบด้วยซีพียู Kryo 465 ให้ความเร็วสูงสุด 2.3GHz ส่วนจีพียูเป็น Adreno 618 ตอบสนองการเล่นเกมแบบ HDR ด้วย Qualcomm Snapdragon Elite Gaming และยังมี Qualcomm AI Engine รุ่นที่ 5 สำหรับประมวลผลด้าน AI
OPPO Reno5 และ Reno5 5G มาพร้อมความจำ RAM 8GB แบบ LPDDR4x จับคู่กับ ROM 128GB แบบ UFS 2.1 ทั้งนี้ OPPO Reno5 เป็นรุ่นเดียวที่สามารถขยายความจุด้วยการ์ด MicroSD สูงสุด 256GB
รองรับ 5G ตั้งแต่แกะกล่อง
ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G มาพร้อมชิปโมเด็ม 5G ในตัว (Snapdragon X52) ช่วยให้ OPPO Reno5 5G พร้อมใช้งานเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทยทันทีตั้งแต่แกะกล่อง โดยทางเทคนิคชิปโมเด็ม 5G Snapdragon X52 สามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุด 3.7Gbps และทำความเร็วในการอัพโหลดได้สูงสุด 1.6Gbps
ผลจากการทดสอบ 5G บนสมาร์ทโฟน OPPO Reno5 5G พบว่าสามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้ระดับ 1 Gbps แน่นอนว่าเร็วกว่า 4G หลายเท่า รวมถึงแรงกว่าเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านเรือนทั่วไป นอกจากนี้ OPPO Reno5 5G ยังรองรับเครือข่าย 4G LTE ได้เช่นเดียวกับรุ่น OPPO Reno5 จึงไม่ต้องกังวลเรื่องขาดการติดต่อ
Game Mode
Gaming Shortcut Mode ช่วให้ผู้ใช้งาน OPPO Reno5 Series 5G สามารถเข้าถึงเกมโปรดได้อย่างรวดเร็วผ่าน Game Space หรือ Game Assistant สามารถข้ามอินโทรเปิดตัวเกมในตอนเริ่มต้นให้อัตโนมัติ และสามารถเริ่มต้นหน้าต่างเกมได้เร็วขึ้นถึง 15 วินาที
Gamer Mode ช่วยปิดกั้นการรบกวนต่างๆ ในระหว่างเล่นเกม เพื่อให้เล่นเกมได้อย่างสนุกไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะเป็นการซ่อนแถบสถานะ หรือ ปุ่มนำทาง และ ปิดระบบการสั่งการด้วยท่าทาง, ปิดการใช้งานหน้าจอ, ปิดการใช้งานหน้าต่าง Floating, Assistive Ball, Quick Return Button และ Smart Sidebar
Bullet Screen Message ใช้การแจ้งเตือนแบบ Bullet เข้ามาแทนการแจ้งเตือนแบบ Banner ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับข้อความที่สำคัญได้ทันที โดยไม่ต้องปิดหน้าจอเกม และไม่ทำให้การเล่นเกมต้องสะดุด (รองรับแอพ WhatsApp, Telegram, Line, Messenger และ SMS)
การปรับแต่ง Gaming Touch ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเกมและความเร็วในการสัมผัสหน้าจอเวลาเล่นเกม เพื่อให้มั่นใจว่าเกมจะตอบสนองต่อความเร็วอยู่เสมอ โดยผู้ใช้งานสามารถปรับการตั้งค่าการสัมผัสระหว่างเซสชันเกมแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถปิดการตอบสนองเมื่อสัมผัสที่ขอบหน้าจอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจหรือการแจ้งเตือนได้ เช่นเดียวกับการแบ่งหน้าจอแบบ 3-finger screenshots และแบบ 3-finger split screen
แบตเตอรี่ 4300mAh ชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0
OPPO Reno5 มีความจุแบตเตอรี่ 4310mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 50W Flash Charge ใช้เวลาชาร์จ 5 นาที เพียงพอสำหรับการดูวิดีโอนานถึง 3 ชั่วโมง, ชาร์จ 31 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 80% และ ใช้เวลาชาร์จเพียง 48 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 100% ถ้าหากระดับแบตเตอรี่เหลือเพียง 5% สามารถเปิดโหมด Super Power Saving จะสามารถตอบแชทได้นานกว่า 2 ชั่วโมง
OPPO Reno5 5G มีความจุแบตเตอรี่ 4300mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 ใช้เวลาชาร์จ 5 นาที เพียงพอสำหรับการดูวิดีโอนานถึง 4 ชั่วโมง, ชาร์จ 15 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 60% และ ใช้เวลาชาร์จเพียง 35 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 100% ถ้าหากระดับแบตเตอรี่เหลือเพียง 5% สามารถเปิดโหมด Super Power Saving จะสามารถเล่นแอพ WhatsApp ได้นานถึง 1.4 ชั่วโมง
เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยในการชาร์จ OPPO Reno5 มาพร้อมระบบระบายความร้อน สามารถควบคุมอุณหภูมิตัวเครื่องให้คงที่ ไม่ให้ร้อนจนเกินไปในระหว่างเล่นเกมพร้อมชาร์ตแบตไปด้วย อีกทั้งยังมีระบบป้องกันการชาร์จอีก 5 ชั้น เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายจากแบตเตอรี่สู่ที่ชาร์จ
ทั้ง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ได้รับอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 65W SuperVOOC 2.0 แถมมาให้ในกล่องเหมือนกันอีกด้วย
ใช้งานได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ
OPPO Reno5 มาพร้อมอัลกอริทึม AI-enhanced Sensing ทำงานร่วมกับกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและโต้ตอบกับสมาร์ทโฟนได้แบบไร้สัมผัส ผ่านฟีเจอร์ Smart AirControl ไม่ว่าจะเป็นการรับสายหรือปิดเสียงการโทรเพียงแค่ใช้ท่าทางปัดมือ หรือใช้วิธีการโบกมือเพื่อเลื่อนหน้าจอบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Facebook, Instagram และ TikTok
เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้แล้วจะสามารถใช้งาน Smart Spying Prevention ซ่อนการแจ้งเตือนเมื่อมีคนแอบมองหน้าจอ และ Smart Always-on ช่วยให้ใช้งานอ่านเนื้อหาหรือรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้ต่อเนื่อง หน้าจอจะไม่ให้ปิดหรือเข้าสู่โหมดสลีป หากพบว่าผู้ใช้งานยังจ้องหน้าจออยู่
ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 ใหม่เอี่ยม
OPPO Reno5 Series 5G เป็นสมาร์ทรุ่นแรกของ OPPO ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งทำงานบนพื้นฐาน Android 11 และได้รับการปรับปรุง User Interface ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความราบรื่นในการใช้งานที่เหนือกว่าเวอร์ชั่นก่อน และยังมุ่งเน้นที่จะมอบความเป็นส่วนตัวในการใช้งานที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าของสมาร์ทโฟน OPPO
ColorOS 11.1 มาพร้อมโหมด Always-On Display ที่สามารถปรับแต่งได้ เพียงปัดบนหน้าจอไม่กี่ครั้ง ก็สามารถออกแบบใหม่ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับรูปแบบข้อความ และเลย์เอาท์ในเทมเพลตของผู้ใช้งาน
Dark Mode ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความชอบส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน โดยมีให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ Enhanced, Medium และ Gentle นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ระดับความคอนทราสต์กับแอพอื่นได้
FlexDrop เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทำงานหลายอย่างได้อย่างราบรื่น ผ่านหน้าต่างที่ปรับขนาดของหน้าต่างแอพได้ทันที และสามารถเก็บแอพแบบเต็มจอให้เป็นแบบลอยบนหน้าจอ ในขณะที่ใช้งานแอพอื่นไปพร้อมกัน
แปลภาษาด้วย Google Lens ได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เพียง 3 นิ้ว ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์แรกที่ OPPO ได้นำมาใช้ในการแปลบทความหรือข้อความที่เป็นคนละภาษาได้อย่างง่ายดาย โดยเรียกใช้แถบด้านข้างอัจฉริยะเพื่อแปลเนื้อหาบนหน้าจอ
สรุปความแตกต่างระหว่าง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G
OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามในด้านภาพลักษณ์และประสบการณ์การใช้งานจึงไม่มีความแตกต่างกัน โดยมีคุณสมบัติแบบเดียวกันหลายอย่าง ทั้งระบบปฏิบัติการ จอแสดงผล หน่วยความจำ แต่ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่หลายจุด
โดยทั้ง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G สามารถใช้งานวิดีโอโหมด Dual-View Video ได้เหมือนกัน แต่โหมด AI Mixed Portrait ที่เป็นไฮท์ไลท์ของ OPPO Reno5 Series 5G รวมถึงวิดีโอโหมด AI Color Portrait และ Monochrome Video ก็รองรับเฉพาะในรุ่น OPPO Reno5 เท่านั้น นอกจากนี้ OPPO Reno5 ยังมีกล้องหน้ามีความละเอียดสูงกว่า OPPO Reno5 5G จึงสรุปได้ว่า OPPO Reno5 เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบในการถ่ายวิดีโอและการถ่ายภาพเป็นหลัก และพอใจกับความเร็วของ 4G ที่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ที่สำคัญมีราคาคุ้มค่าที่สุดในซีรีย์แถมรองรับ Micro SD Card อีกด้วย
สำหรับ OPPO Reno5 5G ใช้ชิปมวลผล Snapdragon 765G รองรับ 5G ที่รวดเร็วกว่า 4G ถึง 20 เท่าตัวทำให้รุ่นนี้เหมาะกับผู้ที่ชื่นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ต้องใช้หน่วยประมวลผลที่ทรงพลังในการเล่นเกมเท่านี้ยังไม่พอ ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วระดับแฟลกชิป 65W SuperVOOC 2.0 ที่ใช้เวลาเพียง สามารถชาร์จเพียง 35 นาที ได้แบตเตอรี่เต็ม 100% แล้ว สเปกมาเต็มขนาดนี้ทำให้ OPPO Reno5 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีราคาไม่แพงแค่หมื่นกลางๆเท่านั้น
ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย
OPPO จะเริ่มเปิดรับจองสมาร์ทโฟน OPPO Reno5 Series 5G ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564 โดย OPPO Reno5 มาในราคา 10,990 บาท และ OPPO Reno5 5G มาในราคา 13,990 บาท
สำหรับผู้ที่สั่งจอง OPPO Reno5 5G ในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับเครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale, Bluetooth Speaker และ E-VIP Card รวมมูลค่า 8,398 บาท
สำหรับผู้ที่สั่งจอง OPPO Reno5 ในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับเครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale และ E-VIP Card รวมมูลค่า 6,299 บาท
เป็นเจ้าของ OPPO Reno5 Series 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย โดยสามารถเป็นเจ้าของ OPPO Reno5 ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,490 บาท และเป็นเจ้าของ OPPO Reno5 5G ในราคาเริ่มต้น 5,490 บาท ระหว่างวันนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์นี้ เท่านั้น โดย OPPO Reno5 Series 5G จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
และสุดท้าย OPPO ได้ประกาศเตรียมส่งรุ่น OPPO Reno5 Pro 5G บุกตลาดประเทศไทยในเร็วๆนี้แน่นอน