Apple พร้อมวางจำหน่าย iPad Air รุ่นที่ 4 อย่างทางการในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา และทีมงาน @flashfly ก็พร้อมรีวิวแล้วเช่นกัน หลังจากเคยนำเสนอแกะกล่องพรีวิวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดย iPad Air รุ่นใหม่ล่าสุด มีความน่าสนใจหลายอย่างตั้งแต่ประสิทธิภาพภายใน จนถึงดีไซน์ภายนอก
สเปก iPad Air รุ่นที่ 4
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว
- ชิปประมวลผล A14 Bionic
- ความจุ 64GB และ 256GB
- กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล
- ลำโพงสเตอริโอ และ ไมโครโฟนคู่
- การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 (2.4/5GHz), Bluetooth 5.0, USB Type-C
- เฉพาะรุ่น Wi‑Fi + Cellular รองรับ 4G LTE ระดับ Gigabit และมี GPS/GNSS ในตัว
- Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ Lithium‑Polymer 28.6 Wh
- ดูวิดีโอออนไลน์ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ผ่าน Wi‑Fi
- ขนาดบอดี้ 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 458 กรัม (หรือ 460 กรัม สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์, สีโรสโกลด์ ,สีเขียว และ สีสกายบลู
ดีไซน์ใหม่หมด
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน iPad Air 4 ถือว่ามีการปรับปรุงด้านดีไซน์แบบยกเครื่องใหม่หมด โดยโครงสร้างหลักเป็นวัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ขอบด้านข้างแบนราบและบางเฉียบ 6.1 มิลลิเมตร งานประกอบสวยงามประณีตตามแบบฉบับของ Apple และผลิตออกมาให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์, สีโรสโกลด์ ,สีเขียว และ สีสกายบลู
ด้านหน้าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ด้วยจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนที่มีขนาด 10.5 นิ้ว พื้นที่ขอบจอด้านบนกับด้านล่างก็บางลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะส่วนล่างไม่มีปุ่มโฮมอีกต่อไปแล้ว
กล้อง FaceTime HD เหนือหน้าจอ มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ยังไม่ได้รับระบบกล้อง TrueDepth แบบที่พบใน iPad Pro จึงไม่รองรับ Face ID
ด้านหลังราบเรียบแต่ก็มองเห็นได้ถึงความพรีเมียม โดดเด่นที่โลโก้ Apple ตรงกลางหลัง มุมบนซ้ายมือมีกล้องตัวหลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นรูไมโครโฟน
ใต้ชื่อ iPad ที่เป็นวงกลม 3 จุด เป็นตำแหน่งของ Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard แบบ iPad Pro รวมถึง Smart Keyboard Folio
ขอบด้านข้างที่เคยโค้งมนก็ถูกทำให้แบนราบสไตล์เดียวกับ iPad Pro โดยมีความบางเพียง 6.1 มิลลิเมตร มาพร้อมปุ่มปรับระดับเสียง
ตรงกลางเป็นช่องต่อแบบแม่เหล็ก สำหรับแนบติดกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และถ้าเป็นเวอร์ชั่น Wi‑Fi + Cellular จะพบถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ที่ส่วนล่าง รองรับขนาด Nano-SIM
ด้านล่างมีตะแกรงลำโพงคู่ ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C จากรุ่นก่อนที่ใช้พอร์ต Lightning
ด้านบนจะพบกับตะแกรงลำโพงคู่เช่นกัน แต่ที่จริงแล้ว iPad Air 4 มีลำโพง 2 ตัว ไม้ได้มี 4 ตัวเหมือน iPad Pro
ด้านบนยังติดตั้งไมโครโฟนมาให้อีกตัว และตรงมุมเป็นปุ่มเพาเวอร์ที่มีความพิเศษ เพราะเป็นครั้งแรกที่ Apple รวม Touch ID ไว้กับปุ่มเพาเวอร์ แทนปุ่มโฮมจากรุ่นก่อน
โดยใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่มีขนาดเล็ก พร้อม Secure Enclave ที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของลายนิ้วมือได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
จอภาพ Liquid Retina สวยงามคมชัด
iPad Air รุ่นที่ 4 ได้รับจอแสดงผล Liquid Retina พร้อมเทคโนโลยี iPS ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ขนาด 10.9 นิ้ว ความหนาแน่น 264 พิกเซลต่อนิ้ว ความสว่าง 500 นิต รองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 การแสดงผลแบบ True Tone ได้รับการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน และเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
จอแสดงผลของ iPad Air รุ่นใหม่ ยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 แตกต่างจากรุ่นก่อนที่รองรับ Apple Pencil รุ่นแรก และมีช่องต่อแบบแม่เหล็กสำหรับแนบติดกับ Apple Pencil ที่ด้านข้าง เหมือนกับ iPad Pro
ชิปประมวลผลที่ทรงพลัง A14 Bionic
iPad Air รุ่นที่ 4 มาพร้อมชิปประมวลผล A14 Bionic ซึ่งใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร อัดแน่นไปด้วยจำนวนทรานซิสเตอร์มากถึง 1.18 หมื่นล้านตัว ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในทุกด้าน รวมถึงประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
ชิปประมวลผล A14 Bionic ประกอบด้วยซีพียูแบบ 6‑core จาก 4 คอร์ประสิทธิภาพสูงรองรับการใช้งานทั่วไปในแต่ละวัน กับอีก 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง สำหรับการประมวลผลอย่างหนัก ส่งผลให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น 40% และยังมาพร้อมจีพียูแบบ 4‑core ให้คุณภาพกราฟิกเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับชิป A12 Bionic
ชิปประมวลผล A14 Bionic ยังมาพร้อม Neural Engine แบบ 16‑core สามารถประมวลผลกระบวนการต่างๆ ได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที ช่วยให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของระบบเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลด้านการเรียนรู้ของระบบถึง 10 เท่า
กล้องหลังระดับ Pro
iPad Air รุ่นที่ 4 ได้รับการปรับปรุงกล้องหลังจากรุ่นก่อน โดยใช้กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/1.8 แบบเดียวกับ iPad Pro เพียงแต่ไม่มีกล้อง Ultra-wide กับ LiDAR Scanner ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อการถ่ายภาพมากนัก
กล้องหลักของ iPad Air 4 ได้รับคุณสมบัติแบบเดียวกับ iPad Pro ทั้งโหมดถ่ายภาพ Panorama สูงสุด 63 ล้านพิกเซล, โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง, Smart HDR, Live Photos พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที, ถ่ายภาพนิ่ง 8 ล้านพิกเซล ในระหว่างบันทึกวิดีโอระดับ 4K รองรับโหมด Slow Motion ความละเอียด 1080p สูงสุด 240 เฟรมต่อวินาที และโหมด Time-lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
กล้องหน้า FaceTime HD
กล้องหน้าของ iPad Air 4 ยังคงใช้ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล เท่าเดิม แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีความคมชัดมากขึ้น พร้อมรองรับฟีเจอร์ Smart HDR, Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง และสามารถถ่ายวิดีโอในระดับ 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ขณะที่รุ่นก่อนจำกัดที่ 30 เฟรมต่อวินาที นอกจากนี้ กล้องหน้าของ iPad Air 4 ยังสนับสนุน FaceTime การโทรแบบวิดีโอ สามารถเห็นใบหน้าชัดขึ้นเมื่อโทรคุยในที่แสงน้อย
ระบบเชื่อมต่อรองรับ Wi-Fi 6 และพอร์ต USB-C
iPad Air รุ่นที่ 4 สนับสนุนการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุด 802.11a/b/g/n/ ac/ax ด้วยความเร็วสูงสุด 1.2Gbps (รุ่นก่อนรองรับ Wi-Fi 5 ความเร็วสูงสุด 866Mbps) และรองรับ 2 ย่านความถี่พร้อมกัน สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Wi-Fi ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน จึงสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตท่องเว็บไซต์ พร้อมเชื่อมต่อกับ Apple TV ในเวลาเดียวกัน
สำหรับ iPad Air 4 รุ่น Wi‑Fi + Cellular รองรับ LTE ระดับ Gigabit สามารถใช้งานได้ทั่วโลกสูงสุด 30 ย่านความถี่ และให้ความเร็วในการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 60% โดยสามารถใช้ซิมการ์ดแบบ Nano-SIM หรือจะใช้ eSIM ผู้ให้บริการเครือข่ายฯ รายใหญ่ในประเทศไทยก็มีให้บริการเช่นกัน
iPad Air รุ่นใหม่ล่าสุดยังเปลี่ยนมาใช้ช่องต่อ USB-C แทนที่ Lightning แบบ iPad Pro ให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้เร็วขึ้น 10 เท่า ด้วยความเร็ว 5Gbps และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ๋ต่อพ่วงหรืออุปกรณ์เสริมได้กว้างขวางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กล้องดิจิตอล จอมอนิเตอร์ หรือ ตัวจัดเก็บข้อมูลภายนอก
iPadOS 14
iPad Air รุ่นที่ 4 เปิดตัวในช่วงที่ Apple ปล่อยระบบปฏิบัติการ iPadOS 14 ออกมาให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้อัพเดทพอดี โดยมีพื้นฐานแบบเดียวกับ iOS 14 แต่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ใช้งานบนอุปกรณ์จอสัมผัสขนาดใหญ่โดยเฉพาะ และถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Apple Pencil อย่างมีประสิทธิภาพ
iPadOS 14 ช่วยให้ iPad Air 4 รู้จักรูปทรงต่างๆ ผู้ใช้งานจึงสามารถวาดรูปทรงเรขาคณิตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยที่รูปทรงนั้นจะยึดเข้ากับตำแหน่งที่ต้องการพอดีเมื่อผู้ใช้เพิ่มแผนภาพและภาพประกอบลงในโน้ต และตัวตรวจหาข้อมูลจะทำงานร่วมกับข้อความที่เขียนด้วยลายมือได้อย่างราบรื่น จึงรู้ว่าข้อความใดคือหมายเลขโทรศัพท์ วันที่ ที่อยู่ และลิงก์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เช่น การแตะหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อโทรออก
ฟีเจอร์ Scribble หรือเขียนด้วยนิ้ว ช่วยให้ผู้ใช้งาน Apple Pencil สามารถเขียนด้วยลายมือลงในช่องข้อความใดๆ ก็ตามได้โดยตรง ช่วยให้การทำสิ่งต่างๆ อย่างการตอบกลับ iMessage หรือการค้นหาใน Safari เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ฟีเจอร์เขียนด้วยนิ้ว ใช้การเรียนรู้ของระบบในตัวอุปกรณ์เพื่อแปลงลายมือเป็นข้อความในรูปแบบตัวพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ข้อความที่ผู้ใช้งานเขียนจึงปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
ฟีเจอร์ Smart Selection ใช้การเรียนรู้ของระบบในตัวอุปกรณ์เพื่อแยกแยะระหว่างลายมือและรูปวาด จึงสามารถเลือก ตัด และวางข้อความที่เขียนด้วยลายมือลงในเอกสารอีกฉบับในรูปแบบของตัวพิมพ์ได้อย่างง่ายดาย
iPadOS 14 ได้รับการออกแบบใหม่หมดสำหรับสาย FaceTime หรือโทรศัพท์ที่ได้รับ, การโต้ตอบกับ Siri และ การค้นหา ช่วยให้การแจ้งเตือนหรือใช้งานฟีเจอร์เหล่านั้น ไม่รบกวนฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานอยู่ก่อนแล้ว
การค้นหาแบบโดยรวมจะค้นหาแทบทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นค้นหาหรือเปิดแอพ ไปจนถึงการดูรายชื่อผู้ติดต่อ ไฟล์ และข้อมูล หรือแม้แต่การหาคำตอบของคำถามทั่วไปเกี่ยวกับผู้คนหรือสถานที่
แถบด้านข้างใหม่สำหรับหลายแอพ เช่น แอพรูปภาพและแอพไฟล์ และแถบเครื่องมือที่ปรับให้เรียบง่ายขึ้นโดยรวมการควบคุมต่างๆ ไว้ในที่เดียว ช่วยให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นกว่าที่เคย
วิดเจ็ตได้รับการออกแบบขึ้นใหม่อย่างสวยงาม โดยจะแสดงข้อมูลที่ใช่ในจังหวะที่ต้องการให้ผู้ใช้เหลือบมองได้ง่ายๆ บนหน้าจอโฮม
iPadOS มาพร้อม App Store ที่มีแอพพลิเคชั่นรอให้ดาวน์โหลดมากกว่า 1 ล้านแอพ โดยทีมงานของ Apple จะช่วยคัดเลือกแอพที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน หรือค้นหาด้วยตัวเองตามหมวดหมู่ที่ต้องการ โดยมีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ iPad ทำงานได้อย่างคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Word, Pages, Keynotes และ Adobe Photoshop CC
อุปกรณ์เสริมจัดเต็ม Magic Keyboard และ Apple Pencil 2
iPad Air 4 รองรับ Magic Keyboard เช่นเดียวกับ iPad Pro ขนาด 11 นิ้วซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยก iPad Air 4 ให้ลอยขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้มองหน้าจอได้ถนัดขึ้น และบานพับยังสามารถปรับมุมได้ 90 – 130 องศา อีกทั้งยังมีช่องต่อ USB-C สำหรับการชาร์จแบบส่งผ่าน อีกทั้งยังช่วยปกป้อง iPad ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
Magic Keyboard มาพร้อมปุ่มแบบแบ็คไลท์ขนาดมาตรฐานและกลไกแบบกรรไกรที่มีการขยับขึ้นลงของปุ่มที่ระยะ 1 มิลลิเมตร รวมถึงติดตั้ง Trackpad มาให้ในตัว รองรับคำสั่งนิ้ว Multi-Touch และเคอร์เซอร์ใน iPadOS
iPad Air 4 ยังรองรับ Smart Keyboard Folio และ Smart Folio รุ่นใหม่ที่ใช้ปกป้องตัวเครื่อง และใช้เป็นที่ตั้ง หรือวางนอนเพื่อใช้งานพิมพ์บนหน้าจอได้ง่ายๆทันที
iPad Air 4 รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 แบบเดียวกับ iPad Pro ซึ่งออกแบบมาให้ยึดติดของด้านข้าง iPad ด้วยแม่เหล็ก และเมื่อยึดติดกันแล้วจะเป็นการจับคู่โดยอัตโนมัติ รวมถึงชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil ในแบบไร้สาย
Apple Pencil รุ่นที่ 2 ถูกออกแบบมาให้มีขนาด น้ำหนัก เหมือนกับดินสอจริง มีความไวต่อแรงกดและการเอียง จึงรองรับการวาดแบบแรเงา ลงลายเส้นหนักเบา บางหนา เหมือนใช้ดินสอกับแผ่นกระดาษจริง
ราคา
iPad Air 4 มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ Space Gray, Silver, Rose Gold, Green, Sky Blue โดยแบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชั่น 2 ความจุ และมีราคาแตกต่างกันดังนี้
- Wi-Fi 64GB ราคา 19,900 บาท
- Wi-Fi 256GB ราคา 24,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular 64GB ราคา 24,400 บาท
- Wi-Fi + Cellular 256GB ราคา 29,400 บาท
ราคาอุปกรณ์เสริม
- Magic Keyboard ราคา 9,990 บาท
- Smart Keyboard Folio ราคา 5,990 บาท
- Smart Folio ราคา 2,990 บาท
- Apple Pencil รุ่นที่ 2 ราคา 4,490 บาท
สรุป
iPad Air รุ่นที่ 4 มาพร้อมประสิทธิภาพที่ทรงพลัง รองรับอุปกรณ์เสริมที่ช่วยยกระดับให้ iPad Air รุ่นใหม่ สามารถทำงานได้แบบคอมพิวเตอร์ แต่คล่องตัวมากกว่าจึงทำงานได้ทุกที่ โดยมีดีไซน์สวยงามพรีเมียมแบบ iPad Pro แต่มีสีสันสดใสกว่า และมีให้เลือกถึง 5 สี นอกจากนี้ ยังตอบสนองการใช้งานด้านความบันเทิงด้วยลำโพงสเตอริโอแบบกว้าง ขยายมิติเสียงให้กว้างขึ้น เมื่อวาง iPad ในแนวนอน ขณะที่แบตเตอรี่ก็ให้อายุการใช้งานยาวนานสูงสุดถึง 10 ชั่วโมง
iPad Air รุ่นใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์จอสัมผัสขนาดใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพไว้ทำงานบางอย่างนอกสถานที่ได้อย่างสะดวก โดยที่มีราคาประหยัดกว่า iPad Pro แต่มีประสิทธิภาพกว่า iPad รุ่นที่ 8