Apple ใช้โอกาสในกิจกรรมเปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แนะนำสาย Apple Watch แบบใหม่ ได้แก่ Solo Loop และ Braided Solo Loop ซึ่งสายทั้ง 2 แบบ มีรูปแบบการใช้งานที่คล้ายกัน แต่ดีไซน์ต่างกัน ส่วนจะมีความพิเศษอย่างไรบ้าง? ทีมงาน @flashfly ได้นำมารีวิวให้ชมแล้ว
แกะกล่อง
สาย Apple Watch แบบ Braided Solo Loop และ Solo Loop ถูกเก็บไว้ในกล่องแบนๆ สีขาว เช่นเดียวกับสายแบบอื่นๆ หน้ากล่องมีรูปภาพของสาย Apple Watch ตามสีสันและดีไซน์ที่เลือกซื้อ
หลังกล่องระบุชื่อของสาย Apple Watch และ ข้อมูลผู้ผลิต สำหรับสายสีแดง PRODUCT(RED) หลังกล่องจะระบุด้วยว่ารายได้จากการจำหน่ายสาย PRODUCT(RED) จะนำไปเข้ากองทุนโลก เพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ และในปีนี้ยังได้นำไปต่อสู้กับ COVID-19 ด้วย
เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับแผ่นพับสีขาว ซึ่งแนบสาย Apple Watch ไว้ภายใน และในแผ่นพับก็มีคำแนะนำในการติดตั้งสายกับ Apple Watch ด้วย
ดีไซน์
สาย Apple Watch แบบ Braided Solo Loop และ Solo Loop มีความเหมือนกันที่ไม่มีตัวล็อคหรือหัวล็อค ทำให้สวมใส่ได้อย่างสบาย และยังง่ายในการสวมหรือถอดออกจากข้อมือ แต่ต้องใช้แรงยืดสายเล็กน้อย
สายแบบ Solo Loop ผลิตด้วยวัสดุยางซิลิโคนเหลว และผ่านการกระบวนการแสง UV แบบพิเศษ เพื่อให้สาย Solo Loop ผิวสัมผัสเรียบลื่นนุ่มนวล
สายแบบ Solo Loop มีให้เลือก 2 ขนาด (40 มม. / 44 มม.) ปัจจุบันมีให้เลือกถึง 10 สี ได้แก่ สีนอร์ทเทิร์นบลู, สีพลัม, สีกรมท่าเช้ม, สีส้มจี๊ด, สีเหลืองจินเจอร์, สีเขียวไซปรัส, สีชมพูซิตรัส, สีขาว, สีดำ และ สีแดง PRODUCT(RED)
สายแบบ Braided Solo Loop ผลิตจากด้ายโพลีเอสเตอร์ถักหุ้มรอบด้ายซิลิโคน ซึ่งด้ายโพลีเอสเตอร์ทำมาจากเส้นใยที่มีความยาวพิเศษกว่า 16,000 เส้น และผ่านกระบวนการรีไซเคิล 100% จากนั้นนำมาถักเข้ากับด้ายซิลิโคนเส้นบาง
ในรูปแบบโครงสร้าง 300D เพื่อให้ผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่ม โดยใช้เครื่องถักที่ทันสมัย ก่อนจะนำมาตัดด้วยเลเซอร์ เพื่อให้ได้ความยาวตรงตามที่ต้องการ
สายแบบ Braided Solo Loop มีให้เลือก 2 ขนาด (40 มม. / 44 มม.) มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเขียวอินเวอร์เนสส์, สีชาร์โคล, สีชมพูพันช์, สีแอตแลนติกบลู และ สีแดง PRODUCT(RED)
นอกจากนี้ สายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop ยังออกแบบมาให้ป้องกันน้ำและกันเหงื่อ จึงสามารถสวมใส่ในขณะว่ายน้ำได้
การเลือกซื้อ
เนื่องจากสายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop ได้รับการออกแบบมาให้สวมใส่กับข้อมือได้โดยไม่มีหัวล็อค จึงต้องเลือกขนาดสายให้พอดี ถ้าหากซื้อสาย Apple Watch ผ่านเว็บไซต์ทางการของ Apple ก่อนกดสั่งซื้อ จะพบกับคำแนะนำในการวัดขนาด สามารถพิมพ์ตัวอย่างออกมาเทียบขนาดข้อมือได้ หรือ ถ้าไปซื้อที่ร้านค้าโดยตรง ก็แนะนำให้ลองเทียบขนาดก่อนซื้อ
สายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Watch รุ่น Series 6, SE, Series 5 และ Series 4 โดยตัวเรือน 40 มม. เหมาะสำหรับสายขนาด 1 – 9 และตัวเรือน 44 มม. เหมาะสำหรับสายขนาด 4 – 12
สายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop ยังรองรับ Apple Watch Series 3 ด้วย โดยตัวเรือน 38 มม. แนะนำให้ใช้สาย 40 มม. และ ตัวเรือน 42 มม. แนะนำให้ใช้สาย 44 มม.
การเลือกซื้อสายแบบ Solo Loop และ Braided Solo Loop ในตอนแรกควรเลือกขนาดที่สวมใส่แล้วรู้สึกกระชับ แต่ไม่แน่นจนเกินไป เนื่องจากสายรุ่นใหม่นี้ เมื่อผ่านการใช้งานไปสักพัก จะมีการขยายตัวเล็กน้อย จึงไม่ควรเลือกสายที่มีขนาดพอดีจนเกินไป
ราคา
สายแบบ Solo Loop วางจำหน่ายในราคา 1,600 บาท (ราคาเดียวกันทุกขนาดทุกสี) มีให้เลือก 2 ขนาด (40 มม. / 44 มม.) ผลิตออกมาให้เลือกถึง 10 สี ได้แก่ สีนอร์ทเทิร์นบลู, สีพลัม, สีกรมท่าเช้ม, สีส้มจี๊ด, สีเหลืองจินเจอร์, สีเขียวไซปรัส, สีชมพูซิตรัส, สีขาว, สีดำ และ สีแดง PRODUCT(RED)
สายแบบ Braided Solo Loop วางจำหน่ายในราคา 3,100 บาท (ราคาเดียวกันทุกขนาดทุกสี) มีให้เลือก 2 ขนาด (40 มม. / 44 มม.) ผลิตออกมาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเขียวอินเวอร์เนสส์, สีชาร์โคล, สีชมพูพันช์, สีแอตแลนติกบลู และ สีแดง PRODUCT(RED)
สรุป
สายแบบ Braided Solo Loop และ Solo Loop ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความสบายของผู้สวมใส่ เนื่องจากไม่มีตัวล็อค ทำให้ไม่รู้สึกมีอะไรมากดทับที่ข้อมือ และเมื่อสวมใส่แล้วก็ให้ความแน่นหนา แต่การสวมใส่จะต้องยืดสายออก เพื่อให้ฝ่ามือรอดผ่านไปได้ ซึ่งการยืดสายออกในช่วงแรกต้องออกแรงพอสมควร
นอกจากนี้ Apple ยังระบุไว้ว่าสายแบบ Braided Solo Loop และ Solo Loop จะมีการขยายตัวเมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ จึงควรเลือกขนาดสายให้แน่นกระชับข้อมือเล็กน้อย แต่ไม่ควรรัดแน่นจนเกินไป