เรียกได้ว่าสิ้นสุดการรอคอยกับแฟนๆ iPhone ในไทยหลังจากที่ Apple เปิดรับจอง iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น อย่างทางการในประเทศไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มจัดส่งและวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป ซึ่งสร้างความคึกคักและยังคงได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเคย
และในโอกาสนี้ทีมงาน @flashfly ก็ได้นำ iPhone 12 mini สีแดง (PRODUCT)RED ความจุ 256GB กับ iPhone 12 Pro Max สีทองความจุ 512GB เครื่องศูนย์ประเทศไทยซึ่งเป็น iPhone 12 ที่มีขนาดเล็กที่สุดและใหญ่ที่สุด มาแกะกล่องและพรีวิวให้ได้ชมพร้อมกันเป็นที่แรกๆในประเทศไทยก่อนที่จะวางจำหน่ายจริง
แกะกล่อง iPhone 12 mini สีแดง (PRODUCT)RED
iPhone 12 mini ถูกเก็บไว้ในกล่องสีขาวตามสไตล์ Apple บนกล่องพิมพ์รูปภาพ iPhone 12 mini ไว้เกือบเต็มพื้นที่ โดยสีสันของรูปภาพ iPhone บนกล่องจะแตกตางกันไปตามสีที่เลือกซื้อ ซึ่งมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน, สีเขียว, สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED
ข้างกล่องที่เป็นด้านยาวจะพบชื่อ iPhone แต่ไม่ได้ระบุชื่อรุ่นต่อท้าย ส่วนด้านข้างที่แคบกว่าจะพบโลโก้ Apple
ด้านหลังระบุว่าภายในกล่องมีอะไรมาให้บ้าง พร้อมให้รายละเอียดเครือข่ายที่รองรับ การเชื่อมต่อไร้สาย รวมถึงอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่เข้ากันได้
เมื่อยกฝากล่องออกไป ก็จะพบกับ iPhone 12 mini นอนคว่ำหน้าอยู่ โดยมีแผ่นกระดาษช่วยดึง iPhone ออกจากกล่อง
กระดาษที่ช่วยดึง iPhone 12 mini ให้ออกมาจากกล่องได้อย่างง่ายดาย เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นกระดาษป้องกันหน้าจอ และถือเป็นครั้งแรกที่ Apple เปลี่ยนมาใช้แผ่นกระดาษแทนที่แผ่นพลาสติก
แผ่นกระดาษป้องกันหน้าจอ ยังพิมพ์รูปภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการทำงานของปุ่มกดด้านข้างด้วย ทั้งปุ่มปิด/เปิดเสียง, ปุ่มเพิ่มเสียง, ปุ่มลดเสียง และ ปุ่มเพาเวอร์
หลังจากหยิบ iPhone 12 mini ออกไป จะพบซองเอกสารขนาดเล็กที่ภายในจะใส่เอกสาร สีแดง (PRODUCT)RED เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด เอกสารการการรับประกัน การใช้งานเบื้องต้นในรูปแบบภาษาไทย เอกสารจาก กสทช. และสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้เพียงชิ้นเดียว จากที่เคยแถมมาให้ 2 ชิ้น
และสุดท้ายเป็นอุปกรณ์เสริมเพียงชิ้นเดียวที่มาพร้อม iPhone 12 mini ได้แก่ สายเคเบิล USB-C to Lightning
ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็คือขนาดของกล่อง iPhone ที่บางลงไปอย่างชัดเจน เนื่องจากภายในกล่องไม่ได้แถมอะแดปเตอร์แปลงไฟ และหูฟัง EarPods มาให้อีกแล้ว ซึ่งทาง Apple ให้เหตุผลว่าต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ขนาดกล่องบรรจุภัณฑ์ iPhone ที่บางลงกว่าเดิม ทำให้การขนส่งสามารถเพิ่มจำนวนกล่องที่จัดส่งต่อหนึ่งพาเลทได้มากขึ้นถึง 70% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อปีได้ถึง 2 ล้านตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนน 450,000 คันในแต่ละปี
แกะกล่อง iPhone 12 Pro Max สีทอง
iPhone 12 Pro Max มาในกล่องสีดำที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม และพิมพ์รูปภาพ iPhone 12 Pro Max ไว้บนฝากล่องตามสีของ iPhone ที่อยู่ภายใน ซึ่งมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีกราไฟต์, สีเงิน, สีทอง และ สีแปซิฟิกบลู
เช่นเดียวกับกล่อง iPhone 12 รุ่นอื่น ข้างกล่องจะมองเห็นความบางได้อย่างชัดเจน มีการพิมพ์ชื่อ iPhone ไว้ตรงด้านที่ยาวกว่า ส่วนด้านที่แคบกว่าจะพบโลโก้ Apple
หลังกล่องจะพบข้อความระบุว่าภายในกล่องมีอะไรมาให้บ้าง พร้อมให้รายละเอียดเครือข่ายที่รองรับ การเชื่อมต่อไร้สาย รวมถึงอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่เข้ากันได้
พอยกฝากล่องขึ้นมาก็จะพบกับ iPhone 12 Pro Max ที่หันหลังให้เช่นเดียวกับ iPhone 12 รุ่นอื่น
และสามารถยกออกจากกล่องได้ง่ายๆ เพราะมีแผ่นกระดาษช่วยดึง ซึ่งยื่นมาจากแผ่นกระดาษป้องกันหน้าจอ iPhone
เมื่อหยิบ iPhone 12 Pro Max ออกไป ก็จะเจอกับซองเอกสารแบบเดียวกับ iPhone 12 ทุกรุ่น คือ มีขนาดซองที่เล็กลง ภายในมีแผ่นเอกสารขนาดเล็ก แนบเข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ดมาให้ และแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple ให้ 1 ชิ้น
ถึงแม้ iPhone 12 Pro Max จะมีราคาสูงกว่า iPhone 12 mini พอสมควร แต่ภายในกล่องก็ไม่ได้มีความพิเศษมากไปกว่ากัน เพราะยังคงได้รับสายเคเบิล USB-C to Lightning เป็นอุปกรณ์เสริมเพียงชิ้นเดียวที่แถมมาให้
พรีวิว iPhone 12 mini
iPhone 12 mini เป็น iPhone 12 ที่มีขนาดเล็กที่สุด ด้วยสัดส่วน 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 133 กรัม ผลิตด้วยวัสดุอะลูมิเนียม ด้านหลังเป็นกระจก ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield ที่มีความทนทานต่อการตกกระแทกได้มากขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone ในปีที่แล้ว และได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำในระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
iPhone 12 mini มาพร้อมจอแสดงผล OLED ซึ่งทาง Apple เรียกว่า Super Retina XDR ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ขนาด 5.4 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 476ppi อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป) หรือสูงสุด 1,200 นิต (HDR) สนับสนุนการแสดงผลแบบ True Tone และ ขอบเขตสีกว้าง (P3)
iPhone 12 mini ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในรอยบาก โดยใช้ระบบกล้อง TrueDepth เช่นเดียวกับ iPhone 12 รุ่นใหญ่กว่า สนับสนุนฟีเจอร์ Face ID, Animoji และ Memoji โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 รองรับโหมดถ่ายภาพ Portrait พร้อมเอฟเฟกต์โบเก้ที่ควบคุมระยะชัดลึกได้ รวมถึงโหมด Portrait Lighting
iPhone 12 mini ได้รับกล้องหลัง 2 ตัว ประกอบด้วยกล้อง Wide และ Ultra Wide ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล กล้อง Wide มีขนาดรูรับแสง f/1.6 มาพร้อมระบบกันสั่น OIS ส่วนกล้อง Ultra Wide มี ขนาดรูรับแสง f/2.4 สามารถเก็บภาพในมุมมองกว้าง 120 องศา
ระบบกล้องคู่หลังของ iPhone 12 mini รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่า สามารถถ่ายภาพ Portrait Mode พร้อมเอฟเฟกต์โบเก้ที่ควบคุมระยะชัดลึกได้ รวมถึงโหมด Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono, High‑Key Mono)
กล้องคู่หลังยังรองรับโหมด Panorama (63 ล้านพิกเซล), Night Mode (ใช้ได้ทั้ง 2 กล้อง), Deep Fusion (ใช้ได้ทั้ง 2 กล้อง), Smart HDR 3, ถ่ายวิดีโอรูปแบบ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที, บันทึกวิดีโอที่ระดับ 4K สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที
iPhone 12 mini สนับสนุน 5G (sub-6 GHz), 4G LTE ระดับ Gigabit, Wi‑Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax), Bluetooth 5.0, Ultra Wideband, NFC, Lightning ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
iPhone 12 mini ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 50 ชั่วโมง สำหรับการฟังเพลง, 15 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ 10 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอผ่านการสตรีม รองรับชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W ขึ้นไป และสนับสนุนการชาร์จไร้สายผ่านอุปกรณ์ MagSafe สูงสุด 15W หรือแบบ Qi สูงสุด 7.5W
พรีวิว iPhone 12 Pro Max
iPhone 12 Pro Max เป็น iPhone ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่ Apple เคยผลิตออกมา โดยมีมิติตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 226 กรัม ผลิตด้วยวัสดุสแตนเลสสตีลคุณภาพสูง ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield ที่มีความทนทานต่อการตกกระแทกได้มากขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone ในปีที่แล้ว ด้านหลังเป็นกระจกผิงด้าน และได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำในระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมจอแสดงผล OLED หรือที่ Apple เรียกว่า Super Retina XDR ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 458ppi อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป) หรือสูงสุด 1,200 นิต (HDR) สนับสนุนการแสดงผลแบบ True Tone และ ขอบเขตสีกว้าง (P3)
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมระบบกล้อง TrueDepth ติดตั้งไว้ในรอยบากเหนือจอแสดงผล เช่นเดียวกับ iPhone 12 รุ่นอื่น ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 รองรับโหมดถ่ายภาพ Portrait พร้อมเอฟเฟกต์โบเก้ที่ควบคุมระยะชัดลึกได้ รวมถึงโหมด Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ นอกจากใช้ถ่ายภาพหรือวิดีโอ ยังสนับสนุนฟีเจอร์ Face ID, Animoji และ Memoji
iPhone 12 Pro Max ได้รับระบบกล้องหลังที่ดีที่สุดใน Series เดียวกัน แม้แต่ iPhone 12 Pro ก็ไม่มีข้อยกเว้น ประกอบด้วยกล้อง Wide รูรับแสง f/1.6, Ultra Wide รูรับแสง f/2.4 สามารถเก็บภาพในมุมมองกว้าง 120 องศา และ Telephoto รูรับแสง f/2.2 สามารถซูมออปติคอล 2.5 เท่า หรือ ซูมดิจิตอลสูงสุด 12 เท่า
กล้องหลังของ iPhone 12 Pro Max มีระบบป้องกันภาพสั่น OIS ทั้งกล้อง Wide และ Telephoto นอกจากนี้ กล้อง Wide ยังใช้ระบบป้องกันภาพสั่น OIS แบบ Sensor-shift อีกทั้งยังได้รับเซ็นเซอร์กล้องที่ใหญ่ขึ้น 47% และมีขนาดพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น (1.7 ไมครอน) ทำให้ iPhone 12 Pro Max สามารถถ่ายภาพถ่ายภาพได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ iPhone ทุกรุ่น (ในทางเทคนิค)
iPhone 12 Pro Max มาพร้อม LiDAR Scanner ช่วยให้กล้องหลังรองรับการถ่ายภาพ Portrait ในโหมดกลางคืนได้ และยังคงรองรับ โหมด Portrait และ Portrait Lighting ได้เช่นเดียวกับ iPhone 12 รุ่นอื่น
กล้องหลังของ iPhone 12 Pro Max ยังรองรับโหมด Night Mode ใช้ได้ทั้งกล้อง Wide และ Ultra Wide), Deep Fusion (ใช้ได้ทั้ง 3 กล้อง) ถ่ายวิดีโอรูปแบบ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที
นอกจากนี้ iPhone 12 Pro Max ยังสนับสนุนการถ่ายภาพรูปแบบ ProRAW ซึ่งเป็นการนำการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมและการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ของ Apple มารวมเข้ากับความอเนกประสงค์ของรูปแบบ RAW ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมสีสัน รายละเอียด และช่วงไดนามิกได้อย่างเต็มที่ตามความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นบน iPhone หรือใช้แอพปรับแต่งภาพระดับมืออาชีพอื่นๆ
iPhone 12 Pro Max สนับสนุนการเชื่อมต่อ 5G (sub-6 GHz), 4G LTE ระดับ Gigabit, Wi‑Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax), Bluetooth 5.0, Ultra Wideband, NFC, Lightning ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
iPhone 12 Pro Max ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 80 ชั่วโมง สำหรับการฟังเพลง, 20 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ 12 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอผ่านการสตรีม รองรับชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W ขึ้นไป และสนับสนุนการชาร์จไร้สายผ่านอุปกรณ์ MagSafe สูงสุด 15W หรือแบบ Qi สูงสุด 7.5W
สรุป
iPhone 12 mini เป็นเพียงชื่อที่สร้างความแตกต่างกับ iPhone 12 เท่านั้น สเปกโดยรวมยังเหมือนกับ iPhone 12 รุ่น 6.1 นิ้ว แต่ถูกสร้างมาเพื่อให้พกพาได้ง่ายที่สุด แต่ความจริงแล้วขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว ไม่ได้เล็กเกินไปเลย เมื่อไม่กี่ปีก่อน iPhone รุ่นพรีเมี่ยมของ Apple ยังมีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และในรุ่น Plus ก็มีขนาด 5.5 นิ้ว นั่นทำให้ iPhone 12 mini ไม่ได้ทำให้ประสบการณ์ในการรับชมภาพหรือวิดีโอลดลงแต่อย่างใด แต่กลับคมชัดมากขึ้นเพราะใช้จอแสดงผล OLED เช่นเดียวกับ iPhone 12 อีก 3 รุ่น
iPhone 12 Pro Max ถูกสร้างมาให้มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า iPhone 11 Pro Max ในปีที่แล้ว เอาใจคนชอบอุปกรณ์จอใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความลำบากที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการพกพา ด้วยขนาดบอดี้ที่ใหญ่ที่สุดและมีน้ำหนักมากที่สุดเมื่อเทียบกับ iPhone 12 อีก 3 รุ่น
อย่างไรก็ตาม iPhone 12 Pro Max ยังมีจุดเด่นที่ระบบกล้องหลังที่ดีที่สุด และดีกว่า iPhone 12 Pro โดยเฉพาะกล้อง Wide หรือกล้องตัวหลัก นั่นทำให้ Phone 12 Pro Max เหมาะสำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพอย่างแท้จริง
ราคา
iPhone 12 mini มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ 64GB ราคา 25,900 บาท, 128GB ราคา 27,900 บาท และ 256GB ราคา 31,900 บาท มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน, สีเขียว, สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED
iPhone 12 Pro Max มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ 128GB ราคา 39,900 บาท, 256GB ราคา 43,900 บาท และ 512GB ราคา 51,900 บาท มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ กราไฟต์, เงิน, ทอง และ แปซิฟิกบลู