Samsung เปิดตัวสมาร์ทโฟน Galaxy S20 FE 5G เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา และกำลังจะวางจำหน่ายในประเทศไทยช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Apple ได้เปิดตัว iPhone 12 ออกมาพอดี และจะเข้ามาวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้เช่นเดียวกัน และนั่นทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนเรือธงในช่วงราคาไม่เกิน 30,000 บาท เกิดความสับสนว่าจะเลือกรุ่นไหนดี จึงหวังว่าบทความนี้จะมีคำตอบให้
ดีไซน์
Galaxy S20 FE 5G ใช้กรอบอะลูมิเนียม ด้านหลังเป็นโพลีคาร์บอเนต ด้านหน้าใช้กระจก Gorilla Glass 3 และผลิตออกมาให้เลือก 6 สี ได้แก่ Cloud Navy, Cloud Lavender, Cloud Mint, Cloud Red, Cloud Orange และ Cloud White
iPhone 12 ใช้กรอบอะลูมิเนียม ด้านหลังเป็นกระจก ด้านหน้าใช้กระจกแบบ Ceramic Shield ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจอแสดงผล สามารถทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อน และมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ Blue, Green, Black, White และ (PRODUCT)RED
Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 ได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำในระดับ IP68 แต่ Galaxy S20 FE 5G ทนน้ำถึงระดับความลึก 1.5 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที ขณะที่ iPhone 12 ทนน้ำถึงระดับความลึก 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 มาพร้อมลำโพงสเตอริโอ แต่ Galaxy S20 FE 5G ได้รับการปรับเสียงโดย AKG
Galaxy S20 FE 5G ใช้วิธียืนยันตัวจนด้วยการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ส่วน iPhone 12 ใช้วิธีสแกนใบหน้า หรือ Face ID
Galaxy S20 FE 5G มีขนาดบอดี้ 74.5 x 159.8 x 8.4 มิลิลเมตร น้ำหนัก 190 กรัม ส่วน iPhone 12 มีขนาดบอดี้ 71.5 x 146.7 x 7.4 มิลิลเมตร น้ำหนัก 162 กรัม
จอแสดงผล
iPhone 12 มาพร้อมจอแสดงผล Super Retina XDR (OLED) ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล (460ppi) ขนาด 6.1 นิ้ว รองรับการแสดงผล HDR และ True Tone
Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมจอแสดงผล Super AMOLED ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล (407ppi) ขนาด 6.5 นิ้ว ให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz ใช้ดีไซน์ Infinity-O Display เจาะหลุมขนาดเล็กเพื่อวางกล้องหน้า ขณะที่ iPhone 12 ทำรอยบากเพื่อติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth
ประสิทธิภาพ
Galaxy S20 FE 5G ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ใช้ซีพียู Qualcomm Kryo 585 ความเร็วสูงสุด 2.84GHz บนสถาปัตยกรรม 64-bit พร้อมด้วยจีพียู Adreno 650 และ AI Engine รุ่นที่ 5
iPhone 12 ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5 นาโนเมตร มาพร้อมซีพียูและจีพียูที่เร็วกว่าชิปในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ สูงสุด 50% และยังมี Neural Engine แบบ 16-core ประสิทธิภาพสูงขึ้น 80% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน
iPhone 12 มีความจุให้เลือก 3 รุ่น 64GB, 128GB และ 256GB ไม่รองรับการ์ด MicroSD ส่วน Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมความจำ RAM 8GB แบบ LPDDR5 จับคู่กับ ROM 128GB และ 256GB รองรับการ์ด MicroSD สูงสุด 1TB
ระบบกล้อง
Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 0.8 ไมครอน รูรับแสง F2.2 ส่วน iPhone 12 มาพร้อมกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2
ระบบกล้องหลังของ Galaxy S20 FE 5G
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.12 ไมครอน รูรับแสง F2.2 มุมมองกว้าง 123 องศา
- กล้อง Wide-angle 12 ล้านพิกเซล ระบบโฟกัส Dual Pixel AF ขนาดพิกเซล 1.8 ไมครอน รูรับแสง F1.8 ระบบกันสั่น OIS มุมมองกว้าง 79 องศา
- กล้อง Telephoto 8 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.0 ไมครอน รูรับแสง F2.4
- ระบบซูม 3x Optical Zoom, 30x Super Resolution Zoom
ระบบกล้องหลังของ iPhone 12
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 มุมมองกว้าง 120 องศา
- กล้อง Wide-angle 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.6 ระบบกันสั่น OIS
- ระบบซูม 3x Optical Zoom, 5x Digital Zoom
แบตเตอรี่
Galaxy S20 FE 5G มีความจุแบตเตอรี่ 4,500mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W ชาร์จแบตเตอรี่ถึง 50% ภายในเวลาเพียง 30 นาที สนับสนุนชาร์จเร็วแบบไร้สาย 15W ด้วยอุปกรณ์ชาร์จไร้สายทั่วไปของ Qi และยังมีฟีเจอร์ Wireless PowerShare สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่น ในแบบไร้สาย เช่น หูฟัง, สมาร์ทวอทช์ หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนของเพื่อน เพียงนำมาวางไว้บนด้านหลัง Galaxy S20 FE
iPhone 12 ไม่ได้เปิดเผยความจุแบตเตอรี่ แต่ยืนยันว่าสามารถให้อายุการใช้งานยาวนานสูงสุด 17 ชั่วโมง สำหรับการดูวิดีโอออฟไลน์ รองรับชาร์จเร็ว สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึง 50% ภายในเวลาเพียง 30 นาที ด้วยอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 20W ที่ต้องซื้อแยกต่างหากในราคา 690 บาท และสนับสนุนชาร์จเร็วแบบไร้สาย 15W เมื่อชาร์จผ่านอุปกรณ์ MagSafe แต่ถ้าชาร์จผ่านอุปกรณ์ชาร์จไร้สายทั่วไปของ Qi รองรับ 7.5W
ระบบปฏิบัติการและอีโคซิสเต็ม
Galaxy S20 FE 5G ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 10 สวมทับด้วย One UI 2.5 ส่วน iPhone 12 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 14
ความแตกต่างของระบบปฏิบัติการ เป็นเรื่องถกเถียงกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าถามว่าระหว่าง Android กับ iOS ระบบไหนดีกว่ากัน เชื่อว่าไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่าผู้ที่กำลังใช้งานระบบปฏิบัติการนั้นอยู่ แต่ถ้าถามว่าระหว่าง Android กับ iOS ระบบไหน มีผู้ใช้งานมากที่สุด จะพบว่าคำตอบนั้นชัดเจนมาก จำนวนผู้ใช้งาน Android มีมากกว่า iOS อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจาก Android ถูกนำไปใช้ในสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่นทุกยี่ห้อยกเว้น Apple ที่ใช้ iOS แต่เพียงรายเดียว และถ้าเจาะจงลงไปที่ One UI ของ Samsung กับ iOS ของ Apple ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ต่อเนื่องมาหลายปีของ Samsung ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ดี
ถ้ากลับมาถามอีกว่า ระหว่าง Android กับ iOS ระบบไหนดีกว่ากัน เชื่อว่าส่วนใหญ่มีความคิดว่า iOS ดีกว่า อย่างแรกเลยเป็นระบบปิดที่จำกัดการใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple จึงมีความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้ดีกว่า จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้งาน iPhone มาอย่างยาวนานจะเปี่ยนใจมาใช้ Android แต่ความคิดนั้นเป็นอดีตไปแล้ว
ปัจจุบัน Samsung ได้ยกระดับระบบนิเวศของตัวเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ด้วยบัญชี Galaxy Account ที่สามารถซิงค์ทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกันเป็นระบบนิเวศเดียว รวมไปถึง Samsung Cloud แหล่งจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ที่สามารถสำรองข้อมูลทุกอย่างแม้กระทั่งการตั้งค่าในอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน ทำให้การย้ายจากระบบนิเวศของ Apple มาเป็นระบบนิเวศของ Samsung Galaxy ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป
ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเป็นเจ้าของ iPad, Apple Watch, AirPods ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกับ Galaxy S20FE 5G ได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านการเชื่อมต่อทางฮาร์ดแวร์ทั้งแบบ Bluetooth หรือ Wi-Fi รวมไปถึงการเชื่อมต่อระดับซอฟท์แวร์ด้วย Google Account หรือ Microsoft Account ที่รองรับการทำงานข้ามระบบปฏิบัติการทั้ง iOS และ Android
สำหรับใครที่ใช้ Android อยู่ก่อนแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินใจซื้อ Galaxy S20 FE 5G และเข้าถึงระบบนิเวศของ Samsung เนื่องจาก Samsung มีอุปกรณ์ Smart Device ที่ครอบคลุมเช่นเดียวกับ Apple ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ตระดับพรีเมี่ยม Galaxy Tab S7, สมาร์ทวอชท์ Galaxy Watch 3 หรือ หูฟังไร้สายอย่าง Galaxy Buds Live
Galaxy S20 FE 5G ยังมีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากแบรนด์เดียวกัน อย่างเช่น แล็ปท็อป Windows 10 รวมไปถึงอุปกรณ์ของ Google อย่าง Google Nest, Chromecast, Android TV และ Android Auto
ผู้ช่วยอัจฉริยะ
Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมผู้ช่วยอัจฉริยะทั้ง Bixby และ Google Assistant ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงมากกว่า 30 ภาษา รวมถึงภาษาไทย พร้อมให้ทุกคำตอบของคำถามเพียงแค่เอ่ยปากถาม อีกทั้งยังมี Bixby ที่ที่ช่วยขยายคำสั่งเสียงในส่วนของการควบคุมอุปกรณ์ Smart Home ของ Samsung
iPhone 12 มาพร้อมผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ที่ได้รับการพัฒนาความฉลาดอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่เพิ่มความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตั้งปลุกตอนเช้า สั่งให้โทรหรือส่งข้อความหาใครสักคน สอบถามข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงขอให้เปิดแอพหรือเข้าถึงข้อมูลภายใน iPhone
Multi-apps Multitasking
iPhone 12 มาพร้อม iOS 14 รองรับฟีเจอร์ Picture in Picture ช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดดูวิดีโอในหน้าต่างขนาดเล็กลอยอยู่บนหน้าจอ พร้อมกับใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นได้ แต่ Galaxy S20 FE 5G ทำได้มากกว่านั้น เพราะสามารถแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 หน้าต่างแล้วใช้พร้อมกันสองแอพด้วยโหมด Split-Screen หรือใช้โหมด Floating Apps ที่สามารถวางแอพซ้อนแอพพร้อมกันสูงสุด 5 แอพ อีกทั้งยังสามารถย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ
การอัพเดทซอฟต์แวร์
เป็นที่ทราบกันดีว่า Apple มีการอัพเดทซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ออกมาอย่างรวดเร็ว แม้แต่ iPhone 6s ที่เปิดตัวมานานกว่า 5 ปี ก็ยังได้รับการอัพเดท iOS 14 นั่นหมายถึง iPhone 12 ก็ควรจะได้รับการอัพเดท iOS เวอร์ชั่นถัดไปที่จะออกมาในช่วง 5 ปีนับจากนี้
อย่างไรก็ตาม Galaxy S20 FE 5G เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนเรือธงที่ Samsung รับประกันว่าจะได้รับการอัพเดทซอฟต์แวร์ในอนาคตอย่างน้อย 3 เวอร์ชั่น ถึงแม้จะมาพร้อม Android 10 แต่จะได้รับการอัพเดทเป็น Android 11 อย่างแน่นอน รวมถึงเวอร์ชั่นถัดไปที่จะออกมาในอนาคตด้วย
การเชื่อมต่อ
Galaxy S20 FE 5G แน่นอนว่าสนับสนุนเทคโนโลยี 5G ตามชื่อรุ่น รวมถึงมาตรฐาน LTE Enhanced 4×4 MIMO และยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.0, NFC, Location (GPS, Galileo, Glonass, BeiDou) และ USB type-C
iPhone 12 สนับสนุน 5G เช่นเดียวกัน รวมถึง Gigabit LTE 4×4 MIMO และยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.0, NFC, Ultra Wideband, Location (GPS, GLONASS, Galileo, QZSS, BeiDou) และ Lightning
iPhone 12 ยังมีจุดเด่นที่ฟีเจอร์ AirDrop ที่ช่วยให้การถ่ายโอนไฟล์ระหว่างอุปกรณ์เป็นเรื่องง่าย แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้น ขณะที่ Galaxy S20 FE 5G รองรับ Nearby Share ของ Google สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้ามอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาจากแบรนด์เดียวกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
Nearby Share รองรับตั้งแต่อุปกรณ์ที่ทำงานบน Android 6.0 หรือใหม่กว่า และสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านหลายโปรโตคอลทั้ง Bluetooth, Bluetooth LE, WebRTC, รวมถึง P2P WiFi โดยในอนาคต Google มีแผนเปิดมาตรฐาน Nearby Share นี้ให้กับระบบอื่นๆ ทั้ง Chrome OS, Windows, Mac OS รวมไปถึง Linux ทำให้สมาร์ทโฟน Android สามารถรับ-ส่งไฟล์กับ Smart Device ได้เกือบทั้งหมดแม้แต่อุปกรณ์ของ Apple
Wireless DeX
Galaxy S20 FE 5G สามารถเชื่อมต่อกับจอทีวี มอนิเตอร์ หรือโปรเจคเตอร์ผ่าน Miracast โดย User Interface จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ Desktop จึงสามารถรับชมคอนเท้นต์จากสมาร์ทโฟนบนจอภาพที่ใหญ่เต็มตา ไม่ว่าจะดูวิดีโอ หรือ ใช้กับงานนำเสนอ
Link to Windows
Galaxy S20 FE 5G รองรับการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ Windows 10 เพื่อยกทุกอย่างในสมาร์ทโฟนมาอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และสามารถเชื่อมต่อกันได้แบบไร้สายไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi หรือ Cellular ไม่จำกัดว่าต้องใช้เครือข่ายเดียวกัน
ฟีเจอร์ Link to Windows ช่วยให้ผู้ใช้งาน Galaxy S20 FE 5G ได้รับความสะดวกในการใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากแผงคีย์บอร์ดในการพิมพ์งาน หรือ แชท และยังทำให้การถ่ายโอนไฟล์ไปมาระหว่าง Galaxy S20 FE 5G กับ Windows PC เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ที่สำคัย สามารถเปิดใช้แอพในสมาร์ทโฟนได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย
MTP Transfer
Galaxy S20 FE 5G สนับสนุน MTP หรือ Media Transfer Protocol ผ่าน USB ทำให้อุปกรณ์เครื่องอื่นมองเห็น Galaxy S20 FE 5G เป็นเหมือน External Storage ตัวหนึ่ง จึงสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้ทุกประเภท ไม่จำกัดเฉพาะรูปภาพ และไม่ต้องลงโปรแกรมให้ยุ่งยาก หรือจะย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามาเครื่องใหม่ ก็ทำได้ง่ายๆ ในสัมผัสเดียวเพียงเสียบสาย USB
USB-C
Galaxy S20 FE 5G ใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆ ใช้งานกัน แม้แต่ iPad Pro และ iPad Air รุ่นที่ 4 ทำให้ Galaxy S20 FE 5G รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล แฟลชไดรฟ์ เอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ เมาส์และคีย์บอร์ดไร้สาย หรือแม้แต่เอ็กซ์เทอร์นอลด็อกเพื่อขยายการเชื่อมต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ iPhone 12 ยังใช้พอร์ต Lightning
การเล่นเกม
iPhone 12 รองรับบริการ Apple Arcade ที่มีเกมให้เล่นมากกว่า 100 เกม โดยต้องเสียค่าสมาชิกเดือนละ 99 บาท และสามารถเล่นเกมใน Apple Arcade ได้ฟรีไม่ต้องซื้อเพิ่ม
Galaxy S20 FE 5G รองรับบริการ Xbox Game Pass โดยใช้เทคโนโลยี xCloud ของ Microsoft สามารถเข้าถึงเกมระดับคอนโซลมากกว่า 150 เกม และให้ประสบการณ์การเล่มเกมต่อเนื่องแบบออนไลน์พร้อมกันทั้งพีซี คอนโซล และสมาร์ทโฟน
Samsung Care+ vs AppleCare+
iPhone 12 มาพร้อมการรับประกันแบบจำกัด ซึ่งคุ้มครองการซ่อมฮาร์ดแวร์เป็นเวลา 1 ปี และ บริการช่วยเหลือโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นเวลาสูงสุด 90 วัน แต่สามารถขยายความคุ้มครองได้ด้วยการซื้อบริการ AppleCare+ ซึ่งได้ขยายระยะเวลาคุ้มครองเป็น 2 ปี นับจากวันที่ซื้อ AppleCare+ และเพิ่มความคุ้มครองด้านความเสียหายจากอุบัติเหตุสูงสุด 2 ครั้ง ในทุกๆ 12 เดือน โดยแต่ละครั้งจะมีค่าธรรมเนียมการให้บริการ 1,000 บาท สำหรับความเสียหายกับหน้าจอ หรือ 3,300 บาท สำหรับความเสียหายอื่นๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apple.com/th/support/products/iphone/
Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมบริการ Samsung Care+ เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 2,939 บาท ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ หน้าจอแตก และความเสียหายที่เกิดจากของเหลวเป็นระยะเวลา 1 ปี และยังมีบริการส่งช่างเทคนิคจากศูนย์บริการซ่อมถึงบ้าน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/offer/samsung-care-plus/
ราคา
Galaxy S20 FE 5G มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ ความจุ 128GB ราคา 23,900 บาท และ ความจุ 256GB ราคา 25,900 บาท
iPhone 12 มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ ความจุ 64GB ราคา 799 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 24,900 บาท, ความจุ 128GB ราคา 849 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 26,490 บาท และ ความจุ 256GB ราคา 949 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 29,590 บาท
สรุป
Galaxy S20 FE 5G มีจุดเด่นที่จอแสดงผล ขนาดใหญ่กว่า รองรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz ตอบสนองการสัมผัสได้รวดเร็วลื่นไหล ที่เหมาะสำหรับการเล่นเกม ขณะที่ iPhone 12 ได้รับการออกแบบมาอย่างพรีเมี่ยม และมาพร้อมชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง ส่วนระบบกล้องหลังของทั้ง 2 รุ่น ให้คุณภาพดีทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบภาพถ่ายสไตล์ไหน แต่ถ้าเป็นกล้องเซลฟี่ Galaxy S20 FE 5G ให้ความละเอียดมากกว่า
Galaxy S20 FE 5G ยังได้เปรียบในเรื่องของแบตเตอรี่ที่มีความจุมากกว่า ถึงแม้ Apple ไม่ได้เปิดเผยความจุของ iPhone 12 แต่เคยมีข่าวลือว่า iPhone 12 Pro จะได้รับความจุแบตเตอรี่ 2775mAh นอกจากนี้ Galaxy S20 FE 5G ยังมีระบบการชาร์จที่เร็วกว่าทั้งการชาร์จไร้สายผ่านอุปกรณ์ Qi รองรับ Wireless PowerShare ที่เปรียบเสมือนเป็น Power Bank ชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย เพียงนำมาวางไว้บนหลังของ Galaxy S20 FE 5G
เรียกได้ว่า Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 ต่างก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป แต่ด้านประสบการณ์การใช้งาน Galaxy S20 FE 5G จะให้ความอิสระมากกว่า เพราะสามารถเข้าถึงระบบนิเวศทั้งของ Samsung, Apple, Google, Microsoft ขณะที่ iPhone 12 จำกัดเฉพาะระบบริเวศของ Apple อีกทั้ง ราคา Galaxy S20 FE 5G ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า และพร้อมให้จับจองแล้ววันนี้!!