Apple สานต่อความสำเร็จของแท็บเล็ตราคาสุดประหยัดรุ่นยอดนิยมที่สุดในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ด้วยการเปิดตัว iPad รุ่นที่ 8 ออกมาอย่างเป็นทางการโดยมาพร้อมสเปกที่แรงกว่าเดิมด้วยชิป A12 Bionic ที่เคยใช้ใน iPhone รุ่นแฟลกชิปอย่าง iPhone XS มาก่อนหน้า
แน่นอนว่ายังคงรองรับ Smart Keyboard และ Apple Pencil อยู่เช่นเคย และตอนนี้ก็ได้พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ใครที่สนใจ iPad ราคาประหยัดที่สุดของ Apple ทีมงาน @flashfly ได้ทำรีวิวมาให้อ่านกันแล้ว
สเปก iPad รุ่นที่ 8
- จอภาพ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว
- ชิปประมวลผล A12 Bionic
- ความจุ 32GB และ 128GB
- กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
- ลำโพงสเตอริโอ และ ไมโครโฟนคู่
- การเชื่อมต่อ Wi‑Fi (2.4/5GHz), Bluetooth 4.2
- เฉพาะรุ่น Wi‑Fi + Cellular รองรับ 4G LTE และมี GPS/GNSS ในตัว
- Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ Lithium‑Polymer 32.4 Wh
- ดูวิดีโอออนไลน์ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ผ่าน Wi‑Fi
- ขนาดบอดี้ 250.6 x 174.1 x 7.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 490 กรัม (หรือ 495 กรัม สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และ สีทอง
แกะกล่อง iPad รุ่นที่ 8
iPad รุ่นที่ 8 มีชื่อเรียกตามขนาดหน้าจอว่า iPad รุ่น 10.2 นิ้ว ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านข้างของ iPad เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเพรียวบาง 7.5 มิลลิเมตร
หลังกล่องระบุความจุ ซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 32GB กับ 128GB ถัดลงมาระบุชื่อ iPad รุ่นที่ 8 และระบบเชื่อมต่อที่มีให้เลือก 2 เวอร์ชั่น ระหว่าง Wi‑Fi + Cellular กับ Wi‑Fi เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ หลังกล่องยังบอกด้วยว่าภายในกล่องมีอะไรมาให้บ้าง
เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา จะพบกับ iPad เป็นอย่างแรก โดยมีแผ่นพลาสติกห่อหุ้มมาเป็นอย่างดี
หลังจากหยิบ iPad ออกไปแล้ว จะพบกล่องเอกสารสีขาว ภายในมีคู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น และแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 2 ชิ้น บนแผ่นเดียวกัน
ชั้นล่างเป็นช่องเก็บอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20 วัตต์ และ สาย USB-C เป็น Lightning ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าคุ้มค่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด
ดีไซน์
iPad รุ่น 10.2 นิ้ว หรือ iPad รุ่นที่ 8 ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดียวกับรุ่นก่อน บอดี้ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และ สีทอง
ด้านหน้าเต็มไปด้วยพื้นที่ของจอแสดงผลระบบสัมผัส Multi‑Touch ขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมแบ็คไลท์แบบ LED และรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
เหนือจอแสดงผลติดตั้งกล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
ส่วนล่างของจอแสดงผล ยังคงมีปุ่มโฮมพร้อม Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
ขอบด้านข้างมีความบางเพียง 7.5 มิลลิเมตร มาพร้อม Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมของ Apple อย่างเช่น Smart Keyboard
อีกข้างมีปุ่มปรับระดับเสียง และถ้าเป็นรุ่น Wi‑Fi + Cellular จะพบถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ฝั่งเดียวกันด้วย
ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และปุ่มเพาเวอร์
ด้านล่างติดตั้งลำโพง 2 ตัว ให้เสียงสเตอริโอ ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Lightning
ประสิทธิภาพชิป A12 Bionic
ถึงแม้ iPad รุ่นที่ 8 จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของดีไซน์ แต่ประสิทธิภาพ ได้รับการปรับปรุงไปพอสมควร โดยเฉพาะชิปประมวลผลที่กระโดดจาก A10 Fusion มาใช้ A12 Bionic ซึ่งเป็นชิประดับ 7 นาโนเมตร มาพร้อมซีพียูแบบ 6-core และจีพียูแบบ 4-core ให้ประสิทธิภาพของซีพียูเพิ่มขึ้น 40% และกราฟิกทำงานดีขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับชิป A10 Fusion ที่ใช้ใน iPad รุ่นที่ 7
ชิป A12 Bionic ยังมาพร้อม Neural Engine แบบ 8-core สำหรับประมวลผลด้าน AI หรือ การเรียนรู้ของระบบ รวมถึงมีส่วนในระบบติดตามการเคลื่อนไหวสำหรับแอพ AR, การปรับแต่งรูปภาพที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ Siri
โดยทาง Apple ยืนยันว่าชิป A12 Bionic ช่วยให้ iPad รุ่นที่ 8 มีประสิทธิภาพเร็วกว่าแล็ปท็อป Windows ที่ขายดีที่สุดถึง 2 เท่า เร็วกว่าแท็บเล็ต Android ที่ขายดีที่สุดถึง 3 เท่า และเร็วกว่า Chromebook ที่ขายดีที่สุดถึง 6 เท่า
จอภาพ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว
iPad รุ่นที่ 8 มาพร้อมจอภาพ Retina ให้รายละเอียดคมชัด สีสันสดใส ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ขนาด 10.2 นิ้ว ความหนาแน่น 264 พิกเซลต่อนิ้ว ความสว่าง 500 นิต พร้อมเทคโนโลยี IPS ให้ความคมชัดแม้มองจากด้านข้าง และได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
กล้อง
iPad รุ่นที่ 8 ติดตั้งกล้องไว้ที่มุมบนซ้ายมือ โดยไม่มีขอบกันชนกล้อง จึงไม่มีส่วนที่นูนออกมาจากพื้นผิว มาพร้อมกล้อง 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4 ประกอบด้วยชุดเลนส์ 5 ชิ้น มีฟิลเตอร์ Hybrid IR รองรับระบบออโต้โฟกัส โหมดถ่ายภาพ Live Photos, HDR, Panorama พร้อมด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ ระบบตรวจจับใบหน้าและร่างกาย
กล้องหลังของ iPad รุ่นที่ 8 สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที มีโหมดถ่ายวิดีโอ Slow Motion ความละเอียด HD 720p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที รองรับโหมด Timelapse พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหว ระบบตรวจจับใบหน้าและร่างกาย เช่นเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง
สำหรับกล้องหน้า มีความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4 มีโหมด HDR, Live Photos, ตั้งเวลาถ่ายภาพอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับใบหน้าและร่างกาย สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด HD 720p รองรับการสนทนาแบบเห็นหน้าผ่าน FaceTime และใช้ประชุมทางไกลผ่านแอพต่างๆ ที่รองรับวิดีโอคอลล์
การเชื่อมต่อไร้สาย
iPad รุ่นที่ 8 สนับสนุนการเชื่อมต่อ Wi‑Fi 802.11a/b/g/n/ac สองย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz แต่ถ้าเลือกรุ่น Wi‑Fi + Cellular จะช่วยให้การเชื่อมต่อราบรื่นมากยิ่งขึ้น เพราะรองรับ 4G LTE ระดับ Gigabit รวม 27 คลื่นความถี่ทั่วโลก โดยรองรับซิมการ์ดทั่วไปแบบ Nano‑SIM หรือใช้ eSIM ก็ได้เช่นกัน แต่รองรับเฉพาะการรับ-ส่งข้อมูลเท่านั้น หากต้องการโทรสามารถทำได้ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ หรือ โทรผ่าน Wi‑Fi
Apple Pencil
จอแสดงผลของ iPad รุ่นที่ 8 ยังรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะจดโน้ต วาดรูป เซ็นชื่อลงในเอกสาร PDF รวมถึงฟีเจอร์ทำเครื่องหมายในเอกสารหรือรูปภาพ
Apple Pencil ยังรองรับการทำงานด้านศิลปะได้อย่างน่าประทับใจ เนื่องจากมีความหน่วงแฝงในระดับต่ำ มีความแม่นยำสูง ไวต่อแรงกดและการเอียง ซึ่งหมายถึง Apple Pencil ตอบสนองการใช้งานได้คล้ายกับดินสอของจริง ทั้งการลงน้ำหนักลายเส้นตามแรงกด รวมถึงการแรเงา
Smart Keyboard
iPad รุ่นที่ 8 มาพร้อม Smart Connector ที่ด้านข้าง สำหรับเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard ด้วยแม่เหล็ก จึงง่ายในการยึดติดและถอดออก และสามารถจับคู่ Smart Keyboard กับ iPad ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ประกบอุปกรณ์ทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ก็จับคู่กันทันที อีกทั้ง Smart Keyboard ยังใช้พลังงานจาก iPad ผ่าน Smart Connector จึงไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Smart Keyboard
Smart Keyboard มาพร้อมปุ่มกดมาตรฐาน รองรับภาษาไทย และยังช่วยปกป้องหน้าจอ iPad ในระหว่างพกพา นอกจากนี้ iPad รุ่นที่ 8 ยังรองรับแผงคีย์บอร์ดของผู้ผลิตรายอื่นด้วย อย่างเช่น Logitech Combo Touch ที่มีแทร็คแพดในตัว ทำให้ iPad มีความใกล้เคียงแล็ปท็อปมากขึ้น
iPadOS 14
iPad รุ่นที่ 8 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS 14 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ Apple ปล่อยออกมาให้อัพเดทในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้รับการพัฒนาให้ iPad ทำงานร่วมกับ Apple Pencil ได้ดีขึ้น แม่นยำขึ้น
พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างฟีเจอร์ Smart Selection อาศัยการเรียนรู้ของระบบในตัวอุปกรณ์ ช่วยแยกแยะระหว่างลายมือและรูปวาด จึงสามารถเลือก ตัด และวางข้อความที่เขียนด้วยลายมือลงในเอกสารอีกฉบับในรูปแบบของตัวพิมพ์ได้อย่างง่ายดาย
iPadOS 14 มาพร้อมวิดเจ็ตที่ได้รับการออกแบบใหม่อย่างสวยงาม แสดงข้อมูลได้มากขึ้น และมองเห็นได้ง่ายขึ้นบนหน้าจอโฮม
แถบด้านข้างใหม่สำหรับหลายแอพ เช่น แอพรูปภาพและแอพไฟล์ และแถบเครื่องมือที่ปรับให้เรียบง่ายขึ้นโดยรวมการควบคุมต่างๆ ไว้ในที่เดียว สามารถใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
User Interface ได้รับการออกแบบใหม่หมด ทั้งการโต้ตอบกับ Siri, การค้นหา, สาย FaceTime และโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา จะถูกย่อลงในหน้าต่างขนาดเล็ก ไม่รบกวนการใช้งานของแอพที่เปิดไว้แต่แรก
ฟีเจอร์เขียนด้วยนิ้ว ช่วยให้ผู้ใช้งานเขียนด้วยลายมือลงในช่องข้อความได้โดยตรงผ่าน Apple Pencil ไม่ว่าจะเป็นการตอบกลับ iMessage หรือการค้นหาใน Safari ก็เป็นเรื่องง่าย โดยฟีเจอร์เขียนด้วยนิ้ว ใช้การเรียนรู้ของระบบในตัว iPad แปลงลายมือเป็นข้อความดิจิตอลได้ทันที
สรุป
iPad รุ่นที่ 8 ยังคงรักษาฟีเจอร์หลายอย่างจากรุ่นก่อน ทั้งกล้องหน้า FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล ลำโพงคู่ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ (ดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง) รวมไปถึงราคาก็ยังตรึงไว้เท่าเดิม นั่นหมายความว่า ผู้ที่กำลังสนใจจะซื้อ iPad รุ่นใหม่ จะได้รับ iPad ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ในราคาเดิม
ด้วยการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวของชิปประมวลผล ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ iPad รุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานทั้งความบันเทิง เล่นเกม สามารถทำงานเบาๆ แทนแล็ปท็อปได้ และพกพาได้สะดวกกว่า ถ้าหากเปรียบเทียบกับแล็ปท็อป Windows 10 ในขนาดใกล้เคียงกันและเป็นแบรนด์ชั้นนำเหมือนกัน จะพบว่า iPad สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่าด้วย
แถมในรุ่นนี้ Apple ยังได้แถมอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20 วัตต์ และ สาย USB-C เป็น Lightning มาให้ในกล่องเลย ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อเพิ่มอีกต่อไป
ราคา
iPad รุ่นที่ 8 เริ่มเปิดให้จับจองในประเทศไทยแล้ว สำหรับเวอร์ชั่น Wi‑Fi โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ 32GB ราคา 10,900 บาท กับ 128GB ราคา 13,900 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และ สีทอง
สำหรับเวอร์ชั่น Wi‑Fi + Cellular จะวางจำหน่ายภายหลัง โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ 32GB ราคา 15,400 บาท กับ 128GB ราคา 18,400 บาท
สำหรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) เป็นอุปกรณ์เสริมที่วางจำหน่ายแยกต่างหาก ราคา 3,400 บาท และ Smart Keyboard วางจำหน่ายแยกต่างหาก ในราคา 5,290 บาท