ถึงแม้ iPhone รุ่นใหม่ จะไม่ได้รับการเปิดตัวในเดือนกันยายน เหมือนหลายปีที่ผ่านมา แต่มั่นใจได้ว่า Apple จะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ออกมาอย่างแน่นอน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone รุ่นถัดไป ก็มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาไว้ที่นี่แล้ว
iPhone 12
สำหรับชื่อเรียก iPhone รุ่นใหม่ ในปี 2020 คาดกันว่าจะใช้ชื่อ iPhone 12 ซึ่งเป็นการนับถัดจาก iPhone 11 ในปีที่แล้ว แต่ในปีนี้ถูกลือว่าจะมีด้วยกัน 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max
ดีไซน์
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ถูกลือว่าจะได้รับการออกแบบใหม่ นับตั้งแต่ iPhone X ในปี 2017 แต่ดูเหมือนจะใช้ดีไซน์คล้ายกับ iPhone 4 โดยเฉพาะส่วนขอบโลหะที่แบนราบจากโครงสแตนเลสสตีล และ Apple เคยนำมาใช้แล้วกับ iPad Pro 2020
อย่างไรก็ตาม iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ยังดูคล้ายรุ่นปัจจุบัน เนื่องจากยังติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth ไว้ในรอยบาก แต่มีพื้นที่ขอบจอแคบลง และรอยบากอาจจะเล็กลงกว่าเดิม (รายงานล่าสุดอ้างว่า จะมีเฉพาะ iPhone 12 รุ่น 5.4 นิ้ว เท่านั้น ที่ถูกลดขนาดรอยบาก เพื่อให้มีพื้นที่ว่างพอสำหรับแสดงไอคอนและสัญลักษณ์ต่างๆ)
iPhone 12 อาจมาพร้อม LiDAR Scanner แบบเดียวกับ iPad Pro 2020 แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเฉพาะ iPhone 12 Pro Max รุ่นเดียวเท่านั้น
จอแสดงผล
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ถูกลือว่าจะได้รับจอแสดงผล OLED ทั้งหมด โดยมีขนาดแตกต่างกันดังนี้
- iPhone 12 mini ขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว
- iPhone 12 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว
- iPhone 12 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว
- iPhone 12 Pro Max ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว
iPhone 12 mini มาพร้อมจอแสดงผล 5.4 นิ้ว แต่จะมีขนาดบอดี้เล็กกว่า iPhone SE 2 ที่มีขนาด 4.7 นิ้ว
iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มาพร้อมจอแสดงผล 6.1 นิ้ว ซึ่งมีขนาดบอดี้ใกล้เคียงกับ iPhone 11 ในปัจจุบัน
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมจอแสดงผล 6.7 นิ้ว เป็น iPhone รุ่นไฮเอนด์ที่จะออกมาแทนที่ iPhone 11 Pro Max ซึ่งมีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จากปัจจุบันที่มีขนาด 6.5 นิ้ว และอาจเป็นรุ่นเดียวที่สนับสนุน ProMotion ให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz แต่ก็มีรายงานว่า ฟีเจอร์นี้อาจจะถูกใช้สำหรับ iPhone ในปี 2021
ชิปประมวลผล 5 นาโนเมตร
Apple เปิดตัวชิปประมวลผล A14 Bionic ทางการแล้ว โดยเริ่มใช้กับ iPad Air 4 เป็นรุ่นแรก ก่อนจะนำมาใช้กับ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น
ชิป A14 Bionic ใช้กระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร อัดแน่นด้วยทรานซิสเตอร์ 11,800 ล้านตัว ใช้แกนประมวลผลแบบ 6-core ที่เพิ่มประสิทธิภาพ CPU ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ และสถาปัตยกรรมกราฟิกแบบ 4-core ที่เพิ่มความสามารถด้านกราฟิกได้ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ชิป A14 Bionic ใช้ Neural Engine แบบ 16-core ที่เร็วขึ้นเป็น 2 เท่า และสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที นอกจากนี้ ยังมีตัวเร่งความเร็วด้านการเรียนรู้ของระบบรุ่นที่ 2 ใน CPU เพื่อการคำนวณที่รวดเร็วขึ้นถึง 10 เท่า
LiDAR Scanner
คาดว่า iPhone 12 mini กับ iPhone 12 จะได้รับกล้องคู่หลัง ส่วน iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max จะได้รับกล้องหลัง 3 ตัว พร้อม LiDAR Scanner ที่เริ่มนำมาใช้แล้วกับ iPad Pro 2020 แต่ดูเหมือน LiDAR Scanner บน iPhone จะมีขนาดเซ็นเซอร์เล็กกว่า
LiDAR Scanner ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยวัดระยะทางด้วยการปล่อยแสงเลเซอร์ไปยังเป้าหมาย แล้ววัดระยะทางจากการสะท้อนกลับ และสามารถใช้ระยะทางที่วัดได้ รวมถึงความยาวคลื่น เพื่อสร้างภาพ 3 มิติของเป้าหมายได้ สำหรับ iPhone 12 เทคโนโลยี LiDAR Scanner ยังช่วยในการโฟกัสและตรวจจับวัตถุสำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืน และบันทึกวิดีโอ
แบตเตอรี่
ข้อมูลจาก จากเอกสารของ KTL (Korea Industrial Technology Laboratory) และหน่วยงานในประเทศจีน National 3C Quality Certification Center ยืนยันตรงกันว่า iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จะได้รับแบตเตอรี่แตกต่างกันดังนี้
- iPhone 12 mini (5.4″) แบตเตอรี่ A2471 ความจุ 2227 mAh
- iPhone 12 (6.1″) แบตเตอรี่ A2431 ความจุ 2775 mAh
- iPhone 12 Pro (6.1″) แบตเตอรี่ A2479 ความจุ 2815 mAh
- iPhone 12 Pro Max (6.7″) แบตเตอรี่ A2466 ความจุ 3687 mAh
เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน จะพบว่าแบตเตอรี่ของ iPhone 12 Series มีความจุน้อยกว่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ Apple มั่นใจว่าชิปประมวลผล A14 ที่จะนำมาใช้กับ iPhone 12 Series มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
- iPhone SE 2 (4.7″) แบตเตอรี่ 1821 mAh
- iPhone 11 (6.1″) แบตเตอรี่ 3110 mAh
- iPhone 11 Pro (5.8″) แบตเตอรี่ 3046 mAh
- iPhone 11 Pro Max (6.5″) แบตเตอรี่ 3969 mAh
ความจุ
ข้อมูลล่าสุดจาก Jon Prosser เจ้าของช่อง FRONT PAGE TECH บน YouTube ยืนยันว่า iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมี 3 ตัวเลือก ได้แก่ 64GB, 128GB และ 256GB
สำหรับรุ่น Pro ไม่ได้อ้างถึง แต่เชื่อว่าจะมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ ตัวเลือก ได้แก่ 128GB, 256GB และ 512GB
สีที่เป็นไฮไลท์
ในปีที่แล้ว Apple ใช้สีเขียว Midnight Green มาช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับ iPhone 11 Pro แต่ในปีนี้ มีข่าวว่าจะเปลี่ยนมาใช้สีน้ำเงินเข้ม Midnight Blue โดยเริ่มนำมาใช้แล้วกับ Apple Watch Series 6
สำหรับ iPhone 12 mini และ iPhone 12 คาดว่ายังคงมีสีขาว, สีดำ และ สีแดง (PRODUCT)RED ให้เลือกเหมือน iPhone 11 แต่สีอื่นๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง
5G
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ถูกลือว่าจะเป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับ 5G แต่ว่าอาจได้รับเทคโนโลยีที่แตกต่างกันระหว่าง mmWave กับ Sub-6GHz โดยข่าวลือส่วนใหญ่ชี้ว่า iPhone 12 ส่วนใหญ่จะรองรับ Sub-6GHz และมีเฉพาะ iPhone 12 Pro Max ที่ได้รับ mmWave และอาจถูกจำกัดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น
mmWave หมายถึง คลื่นความถี่ที่มีความยาวคลื่นในระดับมิลลิเมตร โดยเฉพาะคลื่นความถี่สูงตั้งแต่ 24GHz ถึง 40GHz ส่วน Sub-6GHz หมายถึง ย่านความถี่กลางและความถี่ต่ำ ที่ต่ำกว่า 6GHz โดยย่านความถี่ต่ำอยู่ต่ำกว่า 1GHz ในขณะที่ย่านความถี่กลาง มีตั้งแต่ 3.4GHz ถึง 6GHz
เครือข่าย mmWave มีความเร็วเป็นพิเศษ แต่ส่งสัญญาณได้ประมาณ 1 ช่วงตึกเท่านั้น จึงไม่เหมาะที่จะใช้งานบนพื้นที่ชานเมืองหรือชนบท อีกทั้งสัญญาณ 5G บนเทคโนโลยี mmWave ยังถูกจำกัดถ้าหากมีสิ่งกีดขวาง อย่าง กำแพง ประตู ต้นไม้ จึงต้องใช้เสาจำนวนมาก เพื่อให้สัญญาณครอบคลุม ทำให้มีต้นทุนสูงสำหรับผู้ให้บริการ
mmWave จึงเหมาะสำหรับใช้งานในเขตเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น สนามบิน หรือ สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ แต่ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ในพื้นที่ชนบทและชานเมือง เนื่องจากมีช่วงไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เทคโนโลยี Sub-6GHz เข้ามารองรับการใช้งาน โดยมีความเร็วกว่า 4G แต่ยังช้ากว่า mmWave อย่างไรก็ตาม Sub-6GHz สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่า และสามารถเจาะสิ่งกีดขวางได้ดีกว่า จึงมีต้นทุนถูกกว่า
USB-C
iPad Air 4 ได้เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB‑C แทนที่ Lightning เหมือนกับ iPad Pro แต่เราอาจไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันนี้กับ iPhone 12
คาดว่า iPhone 12 ยังคงใช้พอร์ต Lightning และถึงแม้ iPhone ในอนาคตจะเลิกใช้พอร์ต Lightning ก็หมายความว่า iPhone รุ่นนั้น จะรองรับเฉพาะการชาร์จแบบไร้สาย และสนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สายอย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนว่ารายงานส่วนใหญ่จะชี้ว่า USB‑C กับ iPhone เดินอยู่บนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน
สรุปข้อมูล iPhone 12 Pro และ Pro Max
แน่นอนว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เป็น iPhone รุ่นใหม่ในระดับพรีเมี่ยม มาพร้อมสเปกบางอย่างที่เหนือกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 mini ซึ่งพอสรุปได้ตามรายการด้านล่าง
- LiDAR Scanner
- ระบบกล้องหลังรองรับ 3D TrueDepth
- ซูมเข้าแบบออปติคอล 3 เท่า
- ความจำ RAM 6GB
- ความจุสูงสุด 512GB
- บอดี้สแตนเลสสตีล
- 5G mmWave (อาจมีเฉพะรุ่น Pro Max)
- สีสันใหม่ Midnight Blue
ราคา
แหล่งข่าวอ้างว่า iPhone 12 Series จะมีราคาแตกต่างกันดังนี้
- iPhone 12 Mini 128GB ราคา 649 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 20,590 บาท
- iPhone 12 Mini 256GB ราคา 749 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 23,690 บาท
- iPhone 12 128GB ราคา 749 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 23,690 บาท
- iPhone 12 256GB ราคา 849 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 26,890 บาท
- iPhone 12 Pro 128GB ราคา 999 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 31,590 บาท
- iPhone 12 Pro 256GB ราคา 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 34,790 บาท
- iPhone 12 Pro 512GB ราคา 1,299 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 45,900 บาท
- iPhone 12 Pro Max 128GB ราคา 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 34,790 บาท
- iPhone 12 Pro Max 256GB ราคา 1,199 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 37,990 บาท
- iPhone 12 Pro Max 512GB ราคา 1,399 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 44,290 บาท
กำหนดการเปิดตัวและวางจำหน่าย
Apple ยังไม่ได้ประกาสออกมา แต่มีข่าวลือว่า iPhone 12 Series จะได้รับการเปิดตัวในวันที่ 13 ตุลาคม ก่อนจะเริ่มเปิดให้ทำรายการสั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2020 เป็นต้นไป และอาจจะวางจำหน่ายเฉพาะ iPhone 12 Mini กับ iPhone 12 ก่อนในช่วงแรก ส่วน iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max จะวางจำหน่ายภายหลัง
อย่างไรก็ตาม DigiTimes อ้างว่า Apple จะเริ่มวางจำหน่ายด้วย iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro ซึ่งมีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้วเท่ากัน ก่อนจะวางจำหน่าย iPhone 12 Mini และ iPhone 12 Pro Max ในภายหลัง ซึ่งอาจเป็นเดือนพฤศจิกายน 2020
ที่มา – iMore
https://www.flashfly.net/wp/316238