Apple เปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา โดยยังคงทำตลาด Apple Watch Series 3 ต่อไป ทำให้ปัจจุบันมี Apple Watch วางจำหน่ายพร้อมกัน 3 รุ่น ที่ดูเหมือนจะมีดีไซน์แบบเดียวกัน แต่ถ้ามองไปให้ลึกจะพบว่าทั้ง 3 รุ่น ยังมีความแตกต่างกัน นอกเหนือจากป้ายราคา
การออกแบบและจอแสดงผล
Apple Watch Series 6, Apple Watch SE และ Apple Watch Series 3 มีดีไซน์โดยรวมที่คล้ายกัน อันที่จริง Apple ไม่ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์มากนักนับตั้งแต่ Apple Watch รุ่นแรก โดย Apple Watch Series 3 มีขนาดตัวเรือน 38.6 x 33.3mm x 11.4 มิลลิเมตร ขณะที่ Apple Watch Series 6 กับ Apple Watch SE ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่คาดว่าจะมีขนาดเดียวกับ Apple Watch Series 5 (40 x 34 x 10.74 มิลลิเมตร)
ถึงแม้ตัวเลขจะบอกว่า Apple Watch Series 6 กับ Apple Watch SE มีขนาดตัวเรือนใหญ่กว่า Apple Watch Series 3 แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็แทบจะมองไม่เห้นถึงความแตกต่าง และไม่ว่าจะสวมใส่รุ่นไหนไว้ที่ข้อมือ ก็ออกมาดูดีเหมือนกันทั้ง 3 รุ่น
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองลงไปให้ลึกจะพบว่า Apple Watch Series 3 ยังใช้จอแสดงผลที่มีมุมเหลี่ยมอย่างชัดเจน โดยขนาด 38 มม. มีพื้นที่หน้าจอ 563 ตารางมิลลิเมตร ส่วนขนาด 42 มม. มีพื้นที่หน้าจอ 740 ตารางมิลลิเมตร
Apple Watch Series 6 กับ Apple Watch SE ได้รับการปรับปรุงจอแสดงผลใหม่ที่มีขอบบางลงและมุมโค้งมน ทำให้มีพื้นที่จอแสดงผลใหญ่ขึ้น 30% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 3 โดยขนาด 40 มม. มีพื้นที่หน้าจอ 759 ตารางมิลลิเมตร ส่วนขนาด 44 มม. มีพื้นที่หน้าจอ 977 ตารางมิลลิเมตร
จอแสดงผลของ Apple Watch Series 6 กับ Apple Watch SE ใช้สเปกเดียวกัน แต่ Apple Watch Series 6 เป็นเพียงรุ่นเดียวที่รองรับฟีเจอร์ Always-on และยังมีความสว่างมากขึ้น 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 5
สีสันและวัสดุ
ตัวเรือนของ Apple Watch Series 6, Apple Watch SE และ Apple Watch Series 3 มีสีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ให้เลือกเหมือนกัน แต่ Apple Watch SE ยังมีสีทองให้เลือกด้วย ขณะที่ Apple Watch Series 6 ยังเพิ่มสีน้ำเงิน และ สีแดง Product(Red)
ตัวเรือนของ Apple Watch SE และ Apple Watch Series 3 ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ส่วน Apple Watch Series 6 นอกจากจะมีตัวเรือนอะลูมิเนียม ยังมีวัสดุสแตนเลสสตีล และไทเทเนียม ให้เลือกด้วย
Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ยังมีเวอร์ชั่น Nike ตัวเรือนอะลูมิเนียม สีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ และ Apple Watch Series 6 ยังมีเวอร์ชั่น Hermes ที่ใช้ตัวเรือนสแตนเลสสตีล
ด้านหลังของ Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ยังใช้วัสดุเซรามิกและผลึกแซฟไฟร์ ขณะที่ Apple Watch Series 3 ในปัจจุบันมีวางจำหน่ายเฉพาะรุ่น GPS ซึ่งด้านหลังใช้วัสดุคอมโพสิต
ประสิทธิภาพ
ในอดีต Apple Watch ไม่ใช่อุปกรณ์ที่ต้องวัดกันด้วยประสิทธิภาพ เหมือนกับ iPhone หรือ iPad แต่ปัจจุบัน Apple Watch มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น และความเร็วที่จะตอบสนองต่อการใช้งานก็เริ่มเป็นสิ่งจำเป็น โดย Apple Watch ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมชิปประมวลผลที่แตกต่างกัน
- Apple Watch Series 6 ใช้ชิป S6
- Apple Watch SE ใช้ชิป S5
- Apple Watch Series 3 ใช้ชิป S3
ชิป S6 มีความเร็วกว่า S5 ราว 20% ขณะที่ชิป S5 แรงกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับ S3 เนื่องจากชิป S5 กับ S6 มีสถาปัตยกรรมแบบ 64-bit Dual‑core ขณะที่ S3 เป็นแบบ 32-bit Dual‑core
ชิป S6 กับ S5 ยังมีชิป W3 สำหรับระบบไร้สาย ซึ่งรองรับ Bluetooth 5 นอกจากนี้ Apple Watch Series 6 ยังเป็นเพียงรุ่นเดียวที่มาพร้อมชิป U1 (Ultra Wideband) ซึ่ง Apple เริ่มนำมาใช้กับ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ในปีที่แล้ว (ชิป U1 ช่วยให้อุปกรณ์สามารถรับรู้เชิงพื้นที่ได้มากขึ้น หรือระบุตำแหน่งได้แม่นยำมากขึ้น)
การเชื่อมต่อ
ในปัจจุบัน Apple Watch Series 3 มีวางจำหน่ายเฉพาะรุ่น GPS นั่นหมายความว่า ถ้าผู้ใช้งานต้องการเป็นอิสระจาก iPhone หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายมือถือได้ ต้องเลือก Apple Watch SE หรือ Apple Watch Series 6 เพราะมีรุ่น GPS + Cellular ให้เลือกซื้อ โดยรุ่น GPS + Cellular ยังมีความสำคัญมากสำหรับฟีเจอร์ใหม่ Family Setup
ระบบเซ็นเซอร์
Apple Watch Series 6, Apple Watch SE และ Apple Watch Series 3 ได้รับเซ็นเซอร์และมีฟีเจอร์เหมือนกันหลายอย่าง ตามรายการด้านล่าง
- GPS/GNSS
- NFC
- Altimeter
- Gyroscope
- Accelerometer
- Optical heart sensor
- Ambient light sensor
- Microphone
- GymKit
- 50M water resistance
- Emergency SOS
ถึงแม้ Apple Watch ทั้ง 3 รุ่น จะมีเซ็นเซอร์อย่างเดียวกัน แต่ Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ยังมีฟีเจอร์ที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ เริ่มตั้งแต่ Optical heart sensor หรือ เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอล ที่พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งมีความแม่นยำมากขึ้น ขณะที่ Altimeter ก็เป็นมาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอด ไมโครโฟนก็ยังรองรับแอพ Noise ที่สำคัญ Accelerometer ยังช่วยในฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม ซึ่งฟีเจอร์ทั้งหมดไม่รองรับ Apple Watch Series 3 ถึงแม้จะมีเซ็นเซอร์ประเภทเดียวกันก็ตาม
Apple Watch SE เหนือกว่า Apple Watch Series 3 ตรงที่มีเข็มทิศในตัว และ รองรับการโทรฉุกเฉินทั่วโลก แต่สำหรับ Apple Watch Series 6 ยังได้รับเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า ECG และ เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด SpO2
นอกจากนี้ Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ยังมีความจุ 32GB ขณะที่ Apple Watch Series 3 มีความจุ 8GB
ราคา
ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น GPS
- Apple Watch Series 3 ราคา 6,400 บาท
- Apple Watch SE ราคา 9,400 บาท
- Apple Watch Series 6 ราคา 13,400 บาท
ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น GPS + Cellular
- Apple Watch SE ราคา 10,900 บาท
- Apple Watch Series 6 ราคา 16,900 บาท
สรุป
Apple Watch Series 3 เป็นอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายที่เป็นเจ้าของได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าเทียบกับการออกแบบใหม่ เทคโนโลยีใหม่ Apple Watch SE เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด อย่างน้อยฟีเจอร์ตรวจจับการล้มก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าของ Apple Watch มาแล้วหลายราย ขณะที่ Apple Watch Series 6 ก็ไม่ได้มีราคาสูงจนเกินไปสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการอุปกรณ์ติดตามสุขภาพที่ทำงานได้สมบูรณ์แบบมากกว่าแค่ติดตามการออกกำลังกาย โดยเฉพาะเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า และเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด ที่สามารถตรวจจับสัญญาณของปัญหาสุขภาพในเบื้องต้นได้
ที่มา – MacWorld
https://www.flashfly.net/wp/314820