Apple เปิดตัว iPad Air รุ่นที่ 4 อย่างทางการในงาน Time Flies เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา โดยมาพร้อมจอแสดงผลแบบ All-Screen ไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจอ และยังเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนที่ Lightning เรียกได้ว่าดีไซน์โดยรวมดูคล้ายกับ iPad Pro มากขึ้น แต่อะไรคือความแตกต่าง?
การออกแบบ
- iPad Air 4 มีขนาดบอดี้ 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว มีขนาดบอดี้ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว มีขนาดบอดี้ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร
- iPad Air 4 มีลำโพงคู่ และรวม Touch ID ไว้กับปุ่มเพาเวอร์
- iPad Pro มีลำโพง 4 ตัว และซ่อน Face ID ไว้เหนือหน้าจอ
- iPad ทั้ง 2 รุ่น รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard
- iPad Air 4 มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ Silver, Space Gray, Rose Gold, Green และ Sky Blue
- iPad Pro มีให้เลือก 2 สี Silver และ Space Gray
เห็นได้ชัดเจนว่า iPad Air 4 ยืมดีไซน์มาจาก iPad Pro โดยเฉพาะขอบจอแสดงผลที่แคบลง ขอบด้านข้างราบเรียบ ด้านหลังที่แบนราบ และยังมีขนาดบอดี้ใกล้เคียงกับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว เพียงแต่มีความหนากว่าเล็กน้อย
iPad Air 4 ยังใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID ซึ่งบางคนอาจรู้สึกสะดวกมากกว่า Face ID โดยเฉพาะในช่วงที่ COVID-19 กำลังระบาด ทำให้ต้องสวมใส่หน้ากากอยู่เป็นประจำ
iPad Pro อาจได้เปรียบในเรื่องของระบบเสียง เพราะมาพร้อมลำโพง 4 ตัว ขณะที่ iPad Air 4 ติดตั้งลำโพง 2 ตัว ให้เสียงสเตอริโอ
iPad Air 4 ยังรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard เช่นเดียวกับ iPad Pro แต่มีสีสันให้เลือกมากกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเฉดสีที่สดใสอย่าง Rose Gold, Green และ Sky Blue
จอแสดงผล
- iPad Air 4 ใช้จอ IPS ขนาด 10.9 นิ้ว
- iPad Pro ใช้จอ IPS ขนาด 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว
- iPad Air 4 มีความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว มีความละเอียด 2388 x 1668 พิกเซล
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว มีความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล
- iPad Air 4 ให้ความสว่างสูงสุด 500 นิต
- iPad Pro ให้ความสว่างสูงสุด 600 นิต
- iPad ทั้ง 2 รุ่น รองรับ True Tone
- iPad Pro สนับสนุนอัตราการรีเฟรช 120Hz
iPad Air 4 และ iPad Pro ให้ความคมชัดและความละเอียดที่ใกล้เคียงกัน ใช้หน้าจอป้องกันแสงสะท้อน และรองรับช่วงสีที่กว้างเหมือนกัน แต่จอแสดงผลของ iPad Pro จะให้ความสว่างมากกว่า และยังสนับสนุนอัตราการรีเฟรช 120Hz ที่แสดงภาพได้ราบรื่นนุ่มนวลกว่า ซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อมีการใช้ Apple Pencil
ประสิทธิภาพ
- iPad Air 4 ใช้ชิป A14 Bionic กระบวนการผลิต 5nm
- iPad Pro ใช้ชิป A12z Bionic พร้อมโปรเซสเซอร์ร่วม M12
- iPad ทั้ง 2 รุ่น ใช้พอร์ต USB Type-C
- iPad ทั้ง 2 รุ่น ให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ สูงสุด 10 ชั่วโมง
- iPad Air 4 แถมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 20W
- iPad Pro แถมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 18W
- iPad Air 4 มีให้เลือก 2 ความจุ 64GB และ 256GB
- iPad Pro มีให้เลือก 4 ความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
iPad Air 4 ได้รับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร อัดแน่นไปด้วยทรานซิสเตอร์ 11,800 ล้านตัว ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core และ GPU แบบ 4-core
iPad Pro ใช้ชิป A12z Bionic ประกอบด้วย CPU แบบ 8-core และ GPU แบบ 8-core จะเห็นว่าชิปประมวลผลของ iPad Pro มีแกนประมวลผลมากกว่า ที่เหมาะสำหรับการทำงานด้านกราฟิก
เป็นเรื่องยากที่จะเปรียบเทียบหาความแตกต่างระหว่างชิป A14 และ A12z แต่ในด้านความจุ iPad Pro เหนือกว่าชัดเจน
iPad Air 4 และ iPad Pro ให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ สูงสุด 10 ชั่วโมง โดย iPad Air 4 กับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว ใช้แบตเตอรี่ 28.6 วัตต์ต่อชั่วโมง ขณะที่ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว ใช้แบตเตอรี่ 36.71 วัตต์ต่อชั่วโมง แต่ iPad Air 4 ได้รับอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ 20W จึงควรชาร์จแบตเตอรี่ได้ไวกว่า
กล้อง
- iPad Air 4 มีกล้องหลัง 12MP และกล้องหน้า FaceTime HD 7MP
- iPad Pro มีกล้องหลัง 2 ตัว และกล้องหน้า TrueDepth 7MP
iPad Pro โดดเด่นในเรื่องกล้องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกล้องด้านหลัง ตัวหลัก 12 ล้านพิกเซล วางคู่กับกล้อง Ultra-wide 10 ล้านพิกเซล ที่รองรับการซูมแบบออปติคอล 2 เท่า และยังมี LiDAR Scanner รวมอยู่ในระบบกล้องหลัง สำหรับใช้งานด้าน AR และช่วยจับความลึกของวัตถุ
iPad Air 4 มีกล้องหลังตัวเดียว แต่ก็รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ได้เหมือนกับ iPad Pro
ราคา
- iPad Air 4 ราคาเริ่มต้น 19,900 บาท
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 34,900 บาท
iPad Air 4 มีราคาเริ่มต้นถูกกว่า 8,000 บาท เมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้นของ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว และยังประหยัดเงินได้มากถึง 15,000 บาท เมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้นของ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
สรุป
iPad Air 4 นำเสนอฟีเจอร์หลายอย่างที่พบได้ใน iPad Pro และยังมาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นใหม่ที่ทรงพลัง ขณะที่ iPad Pro ได้เปรียบกว่าในเรื่องของจอแสดงผล ที่ให้ความสว่างกว่า และให้อัตราการรีเฟรขหน้าจอ 120Hz เหมาะสำหรับการทำงานด้านกราฟิก และยังมี Face ID รวมถึงระบบกล้องหลังที่ทันสมัยกว่า
ดังนั้น iPad Air 4 จึงเหมือนถูกสร้างขึ้นมาสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPad Pro แต่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า
ที่มา – Pocket-lint
https://www.flashfly.net/wp/314712