Samsung เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Galaxy Note 20 series อย่างทางการแล้ว ก่อนที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 12 series ในเร็วๆ นี้ แต่ในเมื่อยังไม่ได้เปิดตัวออกมา จึงเป็นหน้าที่ของ iPhone 11 Pro Max ที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ Galaxy Note 20 Ultra ในฐานะพี่ใหญ่ของทั้ง 2 แบรนด์
การออกแบบ
- iPhone 11 Pro Max มีขนาด 158 x 77.8 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 226 กรัม ป้องกันน้ำในระดับ IP68
- Galaxy Note 20 Ultra มีขนาด 164.8 x 77.2 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 213 กรัม ป้องกันน้ำในระดับ IP68
ทั้งคู่มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน แต่เรือธงของ Samsung มีสัดส่วนที่ยาวกว่า เนื่องจากมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย สีสันสวยงามโดยเฉพาะ Mystic Bronze และไม่มีรอยบาก โดยใช้รูขนาดเล็กตรงกลางสำหรับติดตั้งกล้องเซลฟี่
Galaxy Note 20 Ultra ยังมาพร้อมปากกา S Pen จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สำหรับใครที่มองหาอุปกรณ์สำหรับวาดเขียนและจดบันทึก บนหน้าจอที่ใหญ่กว่า
จอแสดงผล
- iPhone 11 Pro Max ใช้จอแสดงผล Super Retina XDR OLED ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล (458 ppi) ขนาด 6.5 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ 82.9% สนับสนุน True Tone, HDR10, Dolby Vision และ Haptic Touch
- Galaxy Note 20 Ultra ใช้จอแสดงผล QHD+ Dynamic AMOLED Infinity-O Display ขนาด 6.9 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 19.3:9 อัตราการรีเฟรช 120Hz สนับสนุน HDR10 และใช้กระจก Gorilla Glass 7
จอแสดงผลของทั้งคู่ให้สีสันสวยงามคมชัดด้วยแผง AMOLED แต่ Galaxy Note 20 Ultra โดดเด่นกว่าในเรื่องของขนาดที่ใหญ่กว่า รองรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz และยังใช้ Gorilla Glass 7 รุ่นใหม่ของ Corning ที่ควรจะแข็งแรงกว่ากระจกบนหน้าจอ iPhone 11 Pro Max ที่เปิดตัวมานานเกือบ 1 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz ถูกจำกัดไว้ที่ความละเอียด FHD และส่งผลให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานลดลงเมื่อเปิดอัตราการรีเฟรชหน้าจอในระดับสูง
ชิปประมวลผล
- iPhone 11 Pro Max ใช้ชิป A13 Bionic ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7nm+ EUV พร้อม Neural E ngine รุ่นที่ 3
- Galaxy Note 20 Ultra ใช้ชิป Snapdragon 865+ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7nm หรือ Exynos 990 สำหรับตัวเลือก 4G
ถึงแม้จะมีอายุเกือบ 1 ปี แต่ชิปประมวลผล A13 Bionic ของ iPhone 11 series ยังมีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 865+ และ Exynos 990 และยังรองรับการอัพเดท iOS เวอร์ชั่นใหม่ไปอีก 4 – 5 ปี ขณะที่ Galaxy Note 20 Ultra ได้รับคำสัญญาว่าจะสามารถอัพเดท Android ไปอีก 3 เจเนอเรชั่น
ความจำ
- iPhone 11 Pro Max มาพร้อม RAM 4GB และมีให้เลือก 3 รุ่น 64GB, 256GB, 512GB
- Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อม RAM 12GB มีให้เลือก 2 รุ่น 256GB, 512GB และรองรับการ์ด microSD
ด้านประสิทธิภาพของชิปประมวลผล iPhone 11 Pro Max อาจเป็นผู้ชนะ แต่ในด้านความจำ Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อม RAM ที่มากกว่าถึง 3 เท่า รุ่นเริ่มต้นก็ให้ ROM มากกว่า 4 เท่า และยังขยายพื้นที่ได้อีกด้วยการ์ด microSD
ระบบกล้อง
- iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.8, f/2.4 และ f/2.0 มีระบบกันสั่น OIS ที่กล้องหลักและเทเลโฟโต้ รองรับโหมด Smart HDR, Portrait ที่ได้รับการปรับปรุง bokeh และควบคุมระยะชัดลึก
- Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อมกล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 มีระบบกันสั่น OIS, กล้องอัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และกล้องเทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล แบบ Periscope รองรับซูมออปติคอล 5 เท่า, ซูมดิจิตอล 50 เท่า, รองรับโหมด Portrait และโหมด Pro สำหรับการถ่ายวิดีโอ
ตามสเปกแล้ว Galaxy Note 20 Ultra ดูเหมือนจะมาพร้อมระบบกล้องหลังที่ทรงพลังกว่า แต่เซ็นเซอร์กล้อง 108 ล้านพิกเซลที่ได้รับการทดสอบแล้วบน Galaxy S20 Ultra ได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร จึงเป็นสาเหตุให้ Galaxy Note 20 Ultra ต้องเพิ่มเซ็นเซอร์โฟกัสอัตโนมัติแบบเลเซอร์เข้าไปด้วย
แม้จะมีอายุเกือบ 1 ปี ที่คุณภาพกล้องของ iPhone 11 Pro Max ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของกล้องสมาร์ทโฟน แต่ไม่มีเลนส์ซูมแบบ Periscope ที่พบใน Galaxy Note 20 Ultra และยังจำกัดการถ่ายวิดีโอที่ระดับ 4K ขณะที่ Galaxy Note 20 Ultra รองรับ 8K และยังมีโหมด Pro สำหรับการถ่ายวิดีโอ รองรับการถ่ายวิดีโอในอัตราส่วน 21:9
สำหรับกล้องหน้า Galaxy Note 20 Ultra มีกล้อง 10 ล้านพิกเซล ส่วน iPhone 11 Pro ได้รับระบบกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล
ระบบยืนยันตัวตน
- iPhone 11 Pro Max รองรับ Face ID หรือสแกนใบหน้า
- Galaxy Note 20 Ultra รองรับ Face Unlock หรือสแกนใบหน้า และ มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
Galaxy Note 20 Ultra มีระบบยืนยันตัวตนทางไบโอเมตริกซ์อยู่ 2 ทางเลือก แต่ Face ID ของ iPhone 11 Pro Max มีความปลอดภัยสูงกว่า ด้วยระบบกล้อง TrueDepth สามารถจดจำใบหน้าในรูปแบบ 3 มิติ ขณะที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบอัลตราโซนิก ยังทำงาานช้าและให้ประสบการณ์ที่น่าผิดหวัง
การเชื่อมต่อ
- iPhone 11 Pro Max รองรับ LTE 1.2Gbps, VoLTE, Dual-SIM, Wi-Fi 6 + MIMO, Bluetooth 5.0, NFC (Reader mode) และ ชิป Ultra-Wideband
- Galaxy Note 20 Ultra รองรับ 5G, LTE 2Gbps, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, VoLTE, NFC
Galaxy Note 20 Ultra ได่เปรียบกว่าอย่างชัดเจนในระบบเชื่อมต่อ มีตัวเลือก 5G ที่พร้อมใช้งานแล้วในบางประเทศ และยังรองรับ LTE ที่มีความเร็วมากกว่า ขระที่ชิป Ultra-Wideband ของ Apple ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
แบตเตอรี่และการชาร์จ
- iPhone 11 Pro Max มีความจุแบตเตอรี่ 3969mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W ชาร์จไร้สาย 7.5W
- Galaxy Note 20 Ultra มีความจุแบตเตอรี่ 4500mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W ชาร์จไร้สาย 12W และยังรองรับ Reverse wireless charging
ถึงแม้ Galaxy Note 20 Ultra จะมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่กว่า แต่ถ้าพิจารณาถึงขนาดจอแสดงผลที่ใหญ่กว่า รองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz ชิปประมวลผล อาจทำให้ iPhone 11 Pro Max มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม Galaxy Note 20 Ultra สามารถชาร์จได้เร็วกว่าทั้งไร้สายและใช้สาย อีกทั้งยังรองรับ Reverse wireless charging สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นได้ เพียงนำมาวางไว้บนด้านหลังของ Galaxy Note 20 Ultra
ราคา
- iPhone 11 Pro Max รุ่น 64GB ราคา 39,900 บาท รุ่น 256GB ราคา 45,900 บาท รุ่น 512GB ราคา 52,900 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra LTE รุ่น 256GB ราคา 38,900 บาท รุ่น 512GB ราคา 42,900 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra 5G รุ่น 256GB ราคา 42,900 บาท รุ่น 512GB ราคา 46,900 บาท
ราคาเปิดตัวของ Galaxy Note 20 Ultra นั่นน่าสนใจกว่ามาก อีกทั้งยังมีโปรโมชั้นของแถมในช่วงเปิดตัว แต่ iPhone นั้นมีจุดแข็งในเรื่องของมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป iPhone จะมีราคาสูงกว่าเมื่อต้องการขายต่อเพื่ออัพเกรดเป็นรุ่นใหม่
ระบบปฏิบัติการ
- iPhone 11 Pro Max ทำงานบน iOS
- Galaxy Note 20 Ultra ทำงานบน Android
ทั้ง 2 รุ่นใช้ระบบปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดในโลก และต่างก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลว่าต้องการเลือกใช้ Android หรือ iOS แต่ที่ชัดเจนก็คือ iPhone 11 Pro Max จะได้รับการอัพเดท iOS เวอร์ชั่นใหม่ๆ ไปอีก 4 – 5 ปี และได้รับการอัพเดทเกือบจะทันทีที่ Apple ปล่อยออกมา ขณะที่ Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อมคำสัญญาว่าจะได้รับการอัพเดท Android ไปอีก 3 เจเนอเรชั่น แต่ปกติแล้วสมาร์ทโฟน Galaxy ต้องรออย่างน้อย 2 – 3 เดือน หลังจาก Google เปิดตัวเวอร์ชั่นใหม่ จึงจะได้รับการอัพเดท
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/310024