ในที่สุด Apple ก็พร้อมวางจำหน่าย iPhone SE รุ่นที่ 2 ในประเทศไทยอย่างทางการแล้ว เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็น iPhone ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดของ Apple เพราะมีราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาท
แถมยังมาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นเดียวกับ iPhone ระดับไฮเอนด์อย่าง iPhone 11 หรือ iPhone 11 Pro และตอนนี้ก็ได้เดินทางมาอยู่ในมือของทีมงาน @flashfly เรียบร้อยแล้วกับสีแดง (PRODUCT) RED
แกะกล่อง
ก่อนที่จะนำเสนอรีวิวอย่างเต็มรูปแบบในโอกาสต่อไป ทีมงาน @flashfly จะขอแกะกล่องและสำรวจ iPhone SE รุ่นที่ 2 ในเบื้องต้นก่อน โดยเครื่องที่นำมารีวิวเป็นเครื่องศูนย์ไทย มาในบอดี้สีแดง (PRODUCT)RED ซึ่ง iPhone SE รุ่นที่ 2 ยังมีอีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ สีดำ และ สีขาว
สำหรับพลาสติกที่ห่อตัวกล่องของ iPhone SE สามารถแกะออกได้ง่ายๆโดยไม่ใช้คัทเตอร์มาตัดอีกต่อไป โดยลอกออกจากด้านหลังกล่อง
เมื่อแกะห่อพลาสติกใสออกไปก็จะพบกับกล่อง iPhone SE รุ่นที่ 2 แบบชัดๆ เป็นกล่องสีขาว ด้านหน้าจะมีรูปตัวเครื่องขนาดเท่าจริงและมีสีตามสีที่เลือก ข้างกล่องติดโลโก้ Apple และคำว่า iPhone เป็นสีแดง (PRODUCT)RED
ใต้กล่องระบุความจำภายใน ซึ่ง iPhone SE รุ่นที่ 2 มีให้เลือก 3 ความจุได้แก่ 64GB, 128GB และ 256GB ถัดลงมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สำหรับรุ่นที่นำมาทดสอบเป็นความจุ 256GB ราคา 20,900 บาท
เมื่อเปิดฝากล่องออกไป ก็จะพบกับซองเอกสารสีขาว Designed by Apple in California ที่คุ้นเคยกันดี
ภายในมีแผ่นกระดาษสีแดงเห็นชัดเจน ด้านหน้าเขียนว่า (PRODUCT)RED ด้านหลังจะระบุว่ารายส่วนหนึ่งจะนำไปบริจาคให้กับกองทุนโลกเพื่อสนับสนุนโครงการ HIV/AIDS รวมถึง COVID-19 ด้วย
ถัดมาก็จะมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น เอกสารการรับประกันตัวเครื่องในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
สติกเกอร์โลโก้ Apple สีขาวที่หลายคนสะสม เสียดายที่ไม่เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง
สุดท้ายกับเอกสารจาก กสทช. ที่รับรองว่าเป็นเครื่องศูนย์ประเทศไทยแน่นอน
สำรวจเอกสารต่างๆกันไปเรียบร้อยก็มาถึงเพราะเอกของเรา iPhone SE รุ่นที่ 2 ที่ถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นพลาสติกป้องกันรอยในระหว่างขนส่ง
เมื่อหยิบ iPhone ขึ้นมา ที่ด้านล่างสุดจะพบกับอุปกรณ์เสริมมาตราฐานที่คุ้นเคยกันดี
หูฟัง EarPods พร้อมหัวต่อ Lightning
ส่วนสายเคเบิล Lightning ความยาว 1 เมตร
และอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB ขนาด 5 วัตต์ สุดคลาสิก ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาง่าย
iPhone SE รุ่นที่ 2 รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว แต่ต้องใช้อะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์ หรือสูงกว่า ซึ่งต้องซื้อเพิ่มเติมเอง เพราะที่ให้มาในกล่องเป็นขนาด 5W และต้องซื้อสายเคเบิล Lightning เป็น USB-C ด้วยถ้าหากต้องการใช้งานร่วมกับ อะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์
สำหรับ iPhone SE รุ่นที่ 2 สีแดง (PRODUCT)RED นอกจากจะมีความโดดเด่นกว่าสีอื่นๆ แล้ว ผู้ที่ซื้อไปยังได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพราะ Apple จะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากทุกการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ (PRODUCT)RED มอบให้กับโครงการ HIV/AIDS ในพื้นที่แอฟริกาใต้สะฮารา เพื่อต่อต้านโรคเอดส์
แต่ในปีนี้มีความพิเศษเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ (PRODUCT)RED ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2020 จะถูกนำไปสมทบกับกองทุนโลก เพื่อการรับมือกับ COVID‑19
ดีไซน์โดยรวม
iPhone SE รุ่นที่ 2 ผลิตด้วยวัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ และกระจกที่มีความทนทาน มุมมองจากด้านหน้าจะเป็นสีดำทั้งหมด
ส่วนด้านหลังติดโลโก้ Apple ไว้บนพื้นผิวที่ผ่านกระบวนการลงหมึกถึง 7 ชั้น จึงแสดงเฉดสีและความทึบแสงได้อย่างแม่นยำ และผลิตออกมาให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED
iPhone SE รุ่นที่ 2 มาพร้อมจอแสดงผล Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ช่วยปรับสมดุลสีขาวบนหน้าจอ เพื่อให้ตรงกับแสงรอบๆ ทำให้การแสดงภาพมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ใต้จอแสดงผลมาพร้อมปุ่มโฮมที่มีวงแหวนสแตนเลสสตีล และติดตั้ง Touch ID ในตัว สำหรับสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อค ยืนยันตัวตน ใช้แทนรหัสผ่านต่างๆ รวมถึงชำระเงินด้วย Apple Pay
นอกจากนี้ iPhone SE รุ่นที่ 2 ยังได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำและฝุ่นในระดับ IP67 จึงสามารถทนน้ำที่ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
ประสิทธิภาพเทียบเท่า iPhone 11 Pro
iPhone SE รุ่นที่ 2 ได้รับชิปประมวลผล A13 Bionic ซึ่งเป็นชิปรุ่นเดียวกับที่พบใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ถือเป็นชิปที่เร็วที่สุดของ iPhone จึงตอบสนองการใช้งานในทุกด้านอย่างลื่นไหล และยังประหยัดพลังงานมากขึ้น
iPhone SE รุ่นที่ 2 ยังรองรับเครือข่าย 4G LTE ระดับ Gigabit และสนับสนุนการเชื่อมต่อมาตรฐานใหม่ Wi‑Fi 6 (802.11ax) และมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ให้อายุการใช้งานนาน 40 ชั่วโมง สำหรับการฟังเพลง หรือ 13 ชั่วโมง สำหรับการดูวิดีโอ
ที่สำคัญ iPhone SE รุ่นที่ 2 ยังสนับสนุนการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย โดยใช้อุปกรณ์ชาร์จไร้สายทั่วไปของ Qi และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จถึงระดับ 50% ในเวลาเพียง 30 นาที แต่ต้องซื้ออุปกรณ์ชาร์จเร็วแยกต่างหาก
กล้องที่วางใจได้
iPhone SE รุ่นที่ 2 มาพร้อมกล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล ถึงแม้จะใช้กล้องเลนส์เดียว แต่ก็สนับสนุนโหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้ และควบคุมระยะชัดลึกได้ รวมถึงการจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ
กล้องหลังของ iPhone SE รุ่นใหม่ สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที รองรับฟีเจอร์ QuickTake ช่วยให้บันทึกวิดีโอได้ทันที โดยไม่ต้องออกจากโหมดภาพถ่าย และรองรับการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่น 1080p ที่ 240 fps
สำหรับกล้องหน้ามีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รองรับโหมดภาพถ่ายบุคคลได้เช่นเดียวกับกล้องหลัง และสามารถถ่ายวิดีโอสูงสุดในระดับ 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
ราคาและการวางจำหน่าย
iPhone SE รุ่นที่ 2 พร้อมวางจำหน่ายในไทยแล้ว โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ 64GB ราคา 14,900 บาท, 128GB ราคา 16,900 บาท และ 256GB ราคา 20,900 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED นอกจากนี้ ยังมาพร้อมสิทธิ์ใช้บริการ Apple TV+ ฟรี 1 ปี (ปกติคิดค่าบริการเดือนละ 99 บาท)