การมาของ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ทำให้ Apple ต้องถอด iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ออกจากแผนการตลาด เนื่องจาก iPhone SE รุ่นใหม่ เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ iPhone 8 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะดีไซน์และราคา โดยราคาล่าสุดของ iPhone 8 ก่อนจะถูกลบออกไปจากชั้นวางสินค้าของ Apple เริ่มต้นที่ 15,900 บาท ขณะที่ iPhone SE (รุ่นที่ 2) มีราคาเปิดตัวถูกกว่า เริ่มต้นที่ 14,900 บาท
หลังจาก Apple หยุดทำตลาด iPhone 8 ที่เปิดตัวในปี 2017 ทำให้ iPhone XR กลายเป็น iPhone รุ่นเก่าที่สุดที่ยังอยู่บนร้านค้าออนไลน์ของ Apple จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ผู้ที่กำลังใช้ iPhone XR อยู่แล้ว ควรจะอัพเกรดมาซื้อ iPhone SE เวอร์ชั่น 2020 ดีหรือไม่? เว็บไซต์ MacRumors จึงได้นำ iPhone XR กับ iPhone SE (รุ่นที่ 2) มาเปรียบเทียบกัน เพื่อตอบคำถามดังกล่าว
จอแสดงผล
iPhone SE (รุ่นที่ 2) และ iPhone XR ใช้จอแสดงผล LCD ที่มีอัตราส่วนคอนทราสต์ 1400:1 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone, ขอบเขตสีกว้าง (P3), การแตะค้างแบบสั่น และให้ความสว่างสูงสุด 625 นิต
จุดที่แตกต่างกันก็คือ iPhone XR มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล (326ppi) ขณะที่ iPhone SE (รุ่นที่ 2) มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326ppi)
ชิปประมวลผล
iPhone XR เปิดตัวในเดือนกันยายน 2018 มาพร้อมชิปประมวลผล A12 Bionic ส่วน iPhone SE (รุ่นที่ 2) ได้รับชิปประมวลผล A13 Bionic รุ่นเดียวกับ iPhone 11 และ 11 Pro ซึ่ง Apple ระบุว่าชิป A13 เร็วขึ้นกว่าเดิม 20% และประหยัดพลังงานมากขึ้น 30% เมื่อเทียบกับชิป A12
ดีไซน์
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ถอดแบบมาจาก iPhone 8 เหมือนกันทั้งขนาดบอดี้และน้ำหนัก ซึ่งนั่นหมายถึงยังมีขอบจอแสดงผลที่หนา โดยเฉพาะขอบบนกับขอบล่าง ส่วน iPhone XR มีขอบจอแสดงผลที่บางรอบด้าน และมีรอยบากสำหรับติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth
Touch ID vs. Face ID
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ยังใช้วิธีการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID โดยฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้กับปุ่มโฮมที่อยู่ใต้จอแสดงผล
iPhone XR ใช้วิธีการยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ของ Apple คือการสแกนใบหน้า หรือ Face ID ที่เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ iPhone X ในปี 2017 ซึ่ง Apple ยืนยันว่า Face ID มีความปลอดภัยมากกว่า มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดเพียง 1 ใน 1,000,000 แต่ Touch ID มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด 1 ใน 50,000 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Touch ID จะไม่มีความปลอดภัย
Face ID ไม่สามารถสแกนใบหน้าผู้ใช้งานได้เมื่อสวมหน้ากากอนามัย (ยกเว้นการตั้งค่าใหม่ด้วยวิธีการปิดบังใบหน้าส่วนล่างในระหว่างลงทะเบียนใบหน้า) ขณะที่ Touch ID ก็ไม่สามารถสแกนลายนิ้วมือได้ ถ้านิ้วกำลังเปียก ซึ่งแสดงว่าทั้ง Face ID และ Touch ID มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม การที่ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ไม่ได้ใช้ระบบกล้อง TrueDepth ทำให้ไม่รองรับ Animoji และ Memoji
กล้องหลัง
iPhone SE (รุ่นที่ 2) กับ iPhone XR มีสเปกกล้องหลังเหมือนกัน ความละเอียดเท่ากันที่ 12 ล้านพิกเซล แต่ iPhone XR ใช้เซ็นเซอร์กล้องรุ่นใหม่กว่า มีขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน และพิกเซลโฟกัสที่ใหญ่กว่า ส่วน iPhone SE (รุ่นที่ 2) ยังใช้เซ็นเซอร์กล้องรุ่นเดียวกับ iPhone 8 อย่างไรก็ตาม iPhone SE (รุ่นที่ 2) ได้รับประโยชน์จากชิป A13 Bionic ทำกล้องหลังของทั้งคู่ มีความแตกต่างกันน้อยมาก
แบตเตอรี่
ด้วยขนาดบอดี้ที่ใหญ่กว่า ทำให้ iPhone XR มีความจุแบตเตอรี่มากกว่า iPhone SE (รุ่นที่ 2)
Apple ระบุว่า iPhone SE (รุ่นที่ 2) ให้อายุการใช้งานยาวนานใกล้เคียงกับ iPhone 8 เล่นวิดีโอ นานสูงสุด 13 ชั่วโมง และเล่นเสียง นานสูงสุด 40 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone XR เล่นวิดีโอ นานสูงสุด 16 ชั่วโมง และเล่นเสียง นานสูงสุด 65 ชั่วโมง
สิ่งที่เหมือนกันก็คือ iPhone SE (รุ่นที่ 2) กับ iPhone XR รองรับการชาร์จแบบไร้สาย และสนับสนุนการชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์ หรือสูงกว่า แต่ไม่แถมมาให้ในกล่อง
การเชื่อมต่อข้อมูลไร้สาย
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ได้เปรียบกว่า ตรงที่สนับสนุนการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 หรือ 802.11ax ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ ขณะที่ iPhone XR ยังติดกับ Wi-Fi 5 หรือ 802.11ac
Wi-Fi 6 มีจุดเด่นที่รองรับการใช้งานสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น เร็วขึ้นและเสถียรกว่าเดิม ลดสัญญาณรบกวน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น อีกทั้งยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ยังสนับสนุน LTE ระดับ Gigabit ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว iPhone SE จะมีความเร็ว 4G มากกว่า iPhone XR ที่รองรับ LTE Advanced
ขนาดและน้ำหนัก
iPhone SE (รุ่นที่ 2) มีขนาดบอดี้ 138.4 x 67.3 x 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 148 กรัม
iPhone XR มีขนาดบอดี้ 150.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 194 กรัม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า iPhone รุ่นไหนพกพาได้ง่ายและสะดวกกว่า
ราคา
iPhone SE (รุ่นที่ 2)
- 64GB ราคา 14,900 บาท
- 128GB ราคา 16,900 บาท
- 256GB ราคา 20,900 บาท
iPhone XR
- 64GB ราคา 21,900 บาท
- 128GB ราคา 23,900 บาท
ถึงแม้จะเลือกซื้อ iPhone SE รุ่น 256GB ก็ยังมีราคาถูกกว่า iPhone XR รุ่น 64GB
สีสัน
iPhone SE (รุ่นที่ 2) กับ iPhone XR มี 3 สีที่เหมือนกัน ได้แก่ สีขาว, สีดำ, สีแดง (PRODUCT)RED แต่ iPhone XR ยังมีอีก 3 ตัวเลือก ได้แก่ สีเหลือง, สีฟ้า และ สีส้มคอรัล
สรุปความเหมือน
- ดีไซน์แบบกระจกและอะลูมิเนียม
- กันน้ำในระดับ IP67 ทนน้ำถึงระดับความลึก 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
- รองรับการชาร์จแบบไร้สาย
- รองรับชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 30 นาที (ต้องใช้ USB-C Power Adapter ขนาด 18W)
- บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
- พอร์ตเชื่อมต่อ Lightning
- ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- รองรับ 2 ซิมการ์ด (nano-SIM + eSIM)
- การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0
- รองรับ VoLTE
- สนับสนุน Dolby Vision และ HDR10
- แถม EarPods พร้อมหัวต่อ Lightning มาให้ในกล่อง
เปรียบเทียบสเปก
สรุป
iPhone SE (รุ่นที่ 2) เหมาะสำหรับคนที่ใช้เงินในกระเป๋าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ แน่นอนว่า iPhone SE (รุ่นที่ 2) มีความคุ้มค่าอย่างมาก ด้วยชิปประมวลผล A13 รุ่นเดียวกับ iPhone 11 Pro แต่มีราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาท
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ยังเหมาะสำหรับเจ้าของหรือคนที่เคยใช้ iPhone 6 หรือ iPhone 7 รวมถึง iPhone 8 เพราะไม่ต้องปรับตัวอะไรมากในการใช้งาน ด้วยการออกแบบของ iPhone SE รุ่นใหม่ ที่ยังใช้จอแสดงผล 4.7 นิ้ว และยืนยันตัวตนด้วย Touch ID
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ยังมีโอกาสได้รับการอัพเดท iOS เวอร์ชั่นใหม่ มากกว่า iPhone XR อย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากใช้ชิปประมวลผลที่ใหม่กว่า
iPhone XR ได้เปรียบกว่าที่ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ดีไซน์ทันสมัยด้วยขอบจอบาง มีรอยบากสำหรับ Face ID
ที่มา – MacRumors
https://www.flashfly.net/wp/296056