ผู้นำเข้ามือถือจีนเตรียมตบเท้าแจง กสทช. เหตุถูกคำสั่งรายงานเครื่องในครอบครองและทำลายใน 30 วัน ห่วงส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์สินค้า เร่งรวมข้อมูลขอความชัดเจน ฟาก “เจมาร์ท” ยันไม่ได้รับผลกระทบ กสทช. เพิกถอนมือถือจีน เพราะได้ขายหมดไปตั้งแต่ 2 ปีก่อน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกคำสั่งทางปกครองไปยังผู้ประกอบการ 27 ราย ที่ดำเนินการนำเข้าเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ 280 รุ่น เนื่องจากใช้รายงานผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศที่ไม่ได้ ออกโดยห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศนั้น หรือมีการปลอมแปลง หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลง ลดทอน แต่งเติมเนื้อหาหรือข้อมูลในรายงานผลการทดสอบ ให้ผิดแผกจากรายงานผลการทดสอบต้นฉบับ ซึ่ง กสทช. มีคำสั่งให้รายงานการครอบครองเครื่องที่ถูกเพิกถอนการนำเข้าและให้ทำลาย เครื่องภายใน 30 วันนับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้นั้น
เมื่อวัน ที่ 3 ก.ค. นายสุรินทร์ อมรชัชวาลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีเดีย อินฟินิตี้ จำกัด หนึ่งใน 27 ผู้ประกอบการที่ได้รับคำสั่งจาก กสทช. เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า ขณะนี้ไม่แน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวส่งมาถึงหรือยัง แต่ในวันพรุ่งนี้ (4 ก.ค.) จะเดินทางไปยัง กสทช.เพื่อเข้าพบและชี้แจงรายละเอียด
“ไม่ได้ บอกว่าผิดหรือเปล่า แต่ให้ความร่วมมือและยินดี รุ่นอาม่า พลัสนั้นเรายื่นเอกสารไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กสทช.เป็นผู้อนุญาตให้นำเข้าเพื่อนำมาจัดจำหน่าย จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่รู้ว่าเราผิด ส่วนกรณีที่จะต้องทำลายเครื่องใน 30 วัน เราก็ยินดี หากเทียบมูลค่าความเสียหายอาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับความเสียหายทางชื่อ เสียงที่เกิดขึ้น จากนี้คงต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจ จากนี้จะยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องดังกล่าวถือเป็นการยกระดับเฮาส์แบรนด์ให้เทียบเท่า อินเตอร์แบรนด์อีกขั้นหนึ่ง”
นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า ได้ส่งเครื่องไปตรวจสอบกับห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลทดสอบด้านคุณภาพนั้นก็ถูกต้องได้มาตรฐานทุกอย่าง สิ่งที่ กสทช.ระบุว่าผิดคือเรื่องเอกสาร โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทที่ กสทช. ออกคำสั่งมานั้นมีทั้งหมด 13 รุ่น ซึ่งหลายรุ่นไม่ได้วางจำหน่ายแล้ว ส่วนรุ่นที่เข้าข่ายและจำหน่ายอยู่ในขณะนี้คืออาม่า พลัส โดยได้แจ้งเรียกคืนเครื่องไปยังร้านค้าและอยู่ระหว่างทยอยคืนสินค้าเพื่อ รวบรวมจำนวนและแจ้งกลับไปยัง กสทช.
ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีคำสั่งทางปกครองให้พิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ จำนวน 280 รุ่น ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากประเทศจีน ว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการสั่งเลิกขายของ กสทช. เนื่องจากโทรศัพท์รุ่นที่สั่งห้ามในส่วนของบริษัทเป็นจำนวน 8 รุ่นนั้น ได้จำหน่ายหมดไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนรุ่นใหม่ที่บริษัทนำเข้ามาขาย มีใบรับรองถูกต้องชัดเจนจาก กสทช. จึงเชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต
“กสทช.สั่งเลิกขาย มือถือที่เป็นของบริษัท 8 รุ่น ซึ่งเป็นรุ่นที่ขายหมดไปตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับผลประกอบการของบริษัท จากนี้ไปก็เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก เพราะรุ่นที่เราสั่งเข้ามาใหม่มีใบรับรองถูกต้องจาก กสทช.” นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงแนวโน้มกำไรของบริษัทในปีนี้ว่า ได้ตั้งเป้ากำไรสุทธิจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 171.59 ล้านบาท เพราะมองว่ายอดขายสินค้าไอทีในกลุ่มสมาร์ทโฟน ไอโฟน และแท็บเล็ต ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีโอกาสที่จะเติบโตสูงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
ขณะ เดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังบริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ อีก 1 ใน 27 ผู้ประกอบการที่ได้รับคำสั่งจาก กสทช. ถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่า ผู้บริหารยังไม่สะดวกจะให้ข้อมูล แต่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบว่า อยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนและประชาชน ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามข้อเท็จจริงไปยังบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งอยู่ในจำนวน 27 บริษัทด้วย พบว่า ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้ และยังไม่พร้อมเปิดเผยข้อมูลต่างๆ
สำหรับขั้นตอนการนำเข้าเครื่อง โทรคมนาคมและอุปกรณ์นั้น ผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารไปยัง กสทช. เพื่อประกอบการพิจารณา ก่อนที่ กสทช. จะเป็นผู้ออกใบรับรอง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าเครื่องเข้าประเทศไทยและจัดจำหน่าย.
ที่มา – Thairath