ในที่สุด Vivo ก็นำสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม NEX series เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้ว โดยรุ่นล่าสุดนับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 จึงถูกเรียกว่า Vivo NEX 3 มาพร้อมคุณสมบัติทุกอย่างที่เรือธงควรจะมี
แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือดีไซน์ ที่มีจอแสดงผลแบบ Waterfall Display เป็นไฮไลท์ แถมไม่มีปุ่มกดใดๆรอบตัวเครื่องอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของสมาร์ทโฟนแห่งอนาคตอย่างแท้จริง
ก่อนที่จะทำการรีวิวตัวเครื่องเรามาทำการแกะกล่องกันก่อนเช่นเคยโดยตัวกล่องของ Vivo NEX 3 นั้นก็แตกต่างจากสมาร์ทโฟนที่วางจำหน่ายทั่วไปในท้อวงตลาด มาพร้อมกับดีไซน์สี่เหลี่ยมจตุรัส
ตรงกลางจะเป็นรูปกล้องด้านหลัง ที่วางดีไซน์ใหม่เป็นแบบวงกลมที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ มีชื่อรุ่น NEX เห็นชัดเจน
ที่ด้านข้างจะมีชื่อรุ่น NEX 3 และสติกเกอร์ Vivo
เปิดกล่องออกมาก็จะพบกับตัวเครื่อง Vivo NEX 3 อยู่ในห่อพลาสติก
ชุดหูฟัง 3.5 มม. แบบ In-Ear
อแดปเตอร์ที่ชาร์จแบบพกพารองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge ขนาด 22.5W วัตต์
เมื่อยกถาดด้านล้างออกไปก็จะพบกับเคสคุณภาพดี สำหรับ Vivo NEX 3
คู่มือการใช้งาน เอกสารการรับหระกันตัวเครื่อง และเข็มจิ้มถาดใส่ซิม จะรวมกันไว้ด้วยกันทั้งหมดที่ด้านล่าง
สุดท้ายกับสาย USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
Vivo NEX 3 โดดเด่นที่จอแสดงผลแบบ Waterfall Display ซึ่งมีส่วนขอบโค้งเกือบ 90 องศา จะเห็นได้ว่าขอบจอด้านข้างนั้นครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของบอดี้ด้านข้างด้วย และพื้นที่ส่วนบนของจอแสดงผลก็ไม่มีรอยบาก ทำให้จอแสดงผลของ NEX 3 มีอัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ถึง 99.6%
Vivo NEX 3 ใช้จอแสดงผล POLED ความละเอียด 1080 x 2256 พิกเซล ขนาด 6.89 นิ้ว ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้จอแสดงผล สามรถสแกนนิ้วได้หน้าจอดับ จึงสามารถวางปลายนิ้วเพื่อปลดล็อคได้อย่างสะดวก
ขอบจอด้านบนตรงกึ่งกลาง มีช่องตะแกรงลำโพงหูฟังสำหรับใช้สนทนาติดตั้งอยู่จนสุดขอบ ส่วนตัวลำโพงจริงๆ ติดตั้งไว้กับระบบกล้องเซลฟี่
ส่วนขอบด้านข้างมีความบาง 9.4 มิลลิเมตร ซึ่งพื้นที่เกินครึ่งเป็นส่วนขอบของจอแสดงผล นั่นทำให้ด้านข้างของ Vivo NEX 3 ไม่สามารถติดตั้งปุ่มกดแบบ Physical ลงไปได้ เราจะไม่เห็นปุ่มเพาเวอร์หรือปุ่มปรับระดับเสียงที่คุ้นเคย วางอยู่บนขอบด้านข้างของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้
อย่างไรก็ตาม ด้านซ้ายของจอแสดงผลมีการติดตั้งปุ่มสัมผัส Touch Sense มาให้ สามารถกดเพื่อเปิด-ปิดเครื่องหรือจอแสดงผล (ปุ่มเพาเวอร์นั่นเอง) รวมถึงปรับระดับเสียง โดยใช้มอเตอร์สั่นสะเทือน X-Axis Haptic มาช่วยตอบสนองการสัมผัส ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนกดปุ่มจริง
ขอบจอแสดงผลของ Vivo NEX 3 ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ดีไซน์ดูล้ำหน้าเท่านั้น แต่ยังมีเอฟเฟกต์แสง เมื่อมีสายเรียกเข้า ได้รับการแจ้งเตือน หรือ เปิดเพลงฟัง จอแสดงผลตรงส่วนขอบจะแสดงเอฟเฟกต์แสงขึ้นมาอย่างสวยงาม
พลิกมาที่ด้านหลังจะพบกับระบบกล้อง 3 ตัว วางอยู่ในกรอบวงกลม Vivo เรียกดีไซน์แบบนี้ว่า Lunar Ring Camera System ส่วนบอดี้ด้านหลังเป็นสีดำ Glowing Night ซึ่งไม่ใช่สีดำล้วน และไม่ได้เป็นสีดำแบบมืดสนิท แต่มีการใช้เทคนิคสีกับพื้นผิวทำให้เกิดมิติ มีการไล่ระดับสีระหว่างสีโทนเข้มกับโทนอ่อน จะมองเห็นได้เมื่อมีแสงมาตกกระทบที่ด้านหลัง ทำให้ดีไซน์ภายนอกของ Vivo NEX 3 มีความหรูหราสมกับเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม
กล้องเซลฟี่ถูกซ่อนไว้ที่ด้านบน โดยมีกลไกสไลด์กล้องขึ้น-ลงอัตโนมัติ จึงถูกเรียกว่า Elevating Front Camera ได้รับการออกแบบมาให้มีความแข็งแรง มีระบบซ่อนกล้องอัตโนมัติ เมื่อเซ็นเซอร์ภายในตรวจจับได้ว่าสมาร์ทโฟนกำลังจะหล่นลงพื้น
ด้านบนยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับลดเสียงรบกวนรอบข้าง และใกล้กันยังมีปุ่มกดแบบ Physical ทำหน้าที่เป็นปุ่มเพาเวอร์ รวมถึงปุ่มเปิด-ปิดจอแสดงผล กรณีที่ไม่อยากกดปุ่มสัมผัสด้านข้าง แต่ถ้าหากใส่เคสที่ Vivo แถมมาให้ จะไม่สามารถกดปุ่มนี้ได้
นั่นหมายถึงปุ่มสัมผัส Touch Sense ด้านข้าง ถูกออกแบบมาให้เป็นปุ่มหลักในการใช้งาน ส่วนปุ่มกดแบบ Physical ด้านบนมีไว้เป็นปุ่มสำรอง
ถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ที่ด้านล่าง รองรับ 2 ซิมการ์ด Dual Nano-SIM (ไม่รองรับการ์ด MicroSD) พร้อมด้วยไมโครโฟน พอร์ต USB Type-C และ ลำโพง
นอกจากจอแสดงผล Waterfall Display ระบบกล้องก็เป็นอีกไฮไลท์ที่น่าสนใจของ Vivo NEX 3 โดยมาพร้อมกล้องเซลฟี่ 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.09 ซ่อนอยู่ที่ด้านบน พร้อมกับแฟลช สามารถสไลด์ขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อต้องการใช้งาน
กล้องเซลฟี่รองรับโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน โหมดบิวตี้ สามารถปรับแต่งใบหน้าได้ครบทุกองค์ประกอบ และยังมีฟิลเตอร์ที่ช่วยถ่ายภาพบุคคลพร้อมละลายฉากหลังและเพิ่มเอฟเฟกต์แสง ส่วนการบันทึกวีดีโอของกล้องหน้า รองรับความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
สำหรับกล้องหลังประกอบด้วยกล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.8 กล้องอัลตร้าไวด์ 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 และกล้องเทเลโฟโต้ 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.48 สามารถถ่ายวีดีโอได้สูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที
กล้องหลังมีฟีเจอร์ให้เลือกใช้มากมาย ทั้งโหมดถ่ายภาพ Super Night Mode, Panorama, HDR, Professional, Portrait, Live Photos, AI Body Shaping, Time-Lapse, Slow Motion รวมถึง AI Scene Recognition ที่ช่วยปรับค่ากล้องตามฉากหลังหรือวัตถุที่กล้องมองเห็น
ที่ประทับใจทีมงานเป็นพิเศษคือโหมดถ่าย Portrait ที่สามารถถ่ายได้ 2 ระยะ ทำให้ได้ภาพระยะใกล้ที่สวยงาม แทบไม่แตกต่างจากกล้องโปรราคาแพงๆเลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพถ่าย
Vivo NEX 3 เลือกใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 855 Plus ซึ่งถือว่าเป็นชิปที่ดีที่สุดของ Qualcomm ในปีนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องประสิทธิภาพในกาารทำงาน รวมถึงการเล่นเกม ก็ตอบสนองได้อย่างลื่นไหล
สามารถปรับกราฟิกเกมได้ในระดับสูงสุด อีกทั้งยังมีระบบระบายความร้อน Vapor Chamber Cooling System ช่วยทำให้อุณหภูมิของชิปประมวลผลและแบตเตอรี่เย็นลง
ด้านประสบการณ์การเล่นเกม Vivo NEX 3 สามารถเล่นเกมที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงเวลานี้ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็น PUBG หรือ ROV สามารถปรับกราฟิกได้สูงสุด ให้เฟรมเรทสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน้าจอขนาดใหญ่ที่แสดงได้เกือบเต็มพื้นที่ด้านหน้าตัวเครื่อง คอเกมต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
Vivo NEX 3 ยังมีฟีเจอร์ Ultra Game Mode ที่ช่วยปรับการทำงานของระบบให้เล่นเกมได้สนุกขึ้น สามารถตั้งค่าให้ปิดการรบกวนระหว่างเล่นเกม ระบบป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพให้เหมาะกับการเล่นเกมที่ต้องใช้ทรัพยากรสูง และยังมีระบบ 4D Vibration หรือระบบสั่น 4 มิติ ที่ทำให้การเล่นเกมสมจริงมากขึ้น
Vivo NEX 3 มาพร้อมความจำ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 128GB แบบ UFS 3.0 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 79% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน UFS 2.1 ส่งผลให้การติดตั้งและการเปิดเข้าเกมและแอพต่างๆ ทำได้เร็วขึ้น
ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 9.1 (บนพื้นฐาน Android 9.0) เวอร์ชั่นล่าสุดจากทาง Vivo รองรับการใช้งาน Dark Mode สำหรับใช้งานเวลากลางคืนอีกด้วย
Vivo NEX 3 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500mAh สนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge ขนาด 22.5W วัตต์ และยังมีเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน C-DRX จึงหมดปัญหาด้านการเล่นเกมไปได้เลย แถมยังมีความปลอดภัยสูง
สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมหลายแบรนด์ เลือกที่จะตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ยังพบได้ใน Vivo NEX 3 เนื่องจากผู้ออกแบบต้องการให้เจ้าของสมาร์ทโฟน สามารถนำหูฟังอันเดิมมาใช้งานร่วมได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีหูฟังคุณภาพสูง เนื่องจาก NEX 3 มาพร้อมชิปเสียง AK4377A ซึ่งเป็นชิปเสียงระดับ Hi-Fi ให้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม
สรุปแล้ว Vivo NEX 3 มีจุดเด่นที่ดีไซน์แตกต่างจากเรือธงในตลาดตอนนี้ โดยเฉพาะจอแสดงผล Waterfall Display ขนาดใหญ่ 6.89 นิ้ว แต่ขนาดบอดี้ยังคงถือจับได้กระชับ ใช้ชิปประมวลผลที่ดีที่สุดของ Qualcomm ในปี 2019 จึงไม่ต้องห่วงเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานหรือเล่นเกม ชิปเสียงระดับ Hi-Fi ที่เหมาะสำหรับนักฟังเพลง
และคุณภาพกล้องที่วางใจได้ ไม่ว่าจะถ่ายภาพในเวลากลางวันหรือกลางคืน ที่สำคัญก็คือ Vivo NEX 3 วางจำหน่ายในราคา 24,999 บาท เมื่อเทียบกับเรือธงคู่แข่งที่ให้สเปกมาใกล้เคียงกัน รวมถึงนวัตกรรมใหม่ที่จะได้ไปจาก NEX 3 บอกได้แค่ว่า “ถ้าไม่ซื้อถือว่าพลาด”