หลังจากมีข่าวลือมานานหลายเดือน ในที่สุด AirPods Pro ก็ได้รับการเปิดตัวทางการแล้ว ถือเป็นหูฟังไร้สายที่ดีที่สุดในครอบครัว AirPods มาพร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ โหมดฟังเสียงภายนอก ดีไซน์แบบอินเอียร์ กันเหงื่อและน้ำ แถมจุกหูฟังซิลิโคน 3 ขนาด และมาพร้อมเคสชาร์จแบบไร้สาย
โดยรวมแล้ว AirPods Pro มีคุณสมบัติมากที่สุดเมื่อเทียบกับ AirPods ทุกรุ่น แต่ก็มาในราคาที่สูงที่สุดช่นกัน Apple แขวนป้ายราคาไว้ที่ 9,490 บาท ขณะที่ AirPods ที่มาพร้อมเคสชาร์จแบบไร้สาย มีราคา 7,490 และ AirPods ที่มาพร้อมเคสชาร์จปกติ ราคา 5,990 บาท
AirPods Pro มีราคาที่แพงกว่า 2,000 – 3,500 บาท เมื่อเทียบกับ AirPods รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ราคาที่สูงจะมีคุณสมบัติอะไรที่พิเศษกว่า? ต่อไปนี้คือฟีเจอร์ใหม่ที่พบใน AirPods Pro แต่ไม่มีใน AirPods
- ขนาดที่เลือกปรับได้
- เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ
- EQ แบบปรับได้เอง
- ทนเหงื่อและน้ำ ในระดับ IPX4
ดีไซน์แบบอินเอียร์
AirPods Pro เป็นหูฟังแบบอินเอียร์ โดยหูฟังแต่ละข้างมาพร้อมจุกหูฟังซิลิโคน 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อรองรับสรีระของหูแต่ละคนที่มีขนาดแตกต่างกัน และยังใช้ซอฟต์แวร์ช่วยตรวจสอบว่าผู้สวมใส่เลือกใช้จุกหูฟังที่เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่
เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ
จุดเด่นของ AirPods Pro คือ เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและโหมดฟังเสียงภายนอก
AirPods Pro ใช้ไมโครโฟนสองตัวร่วมกับซอฟต์แวร์อันล้ำสมัย เพื่อปรับการทำงานให้เข้ากับหูแต่ละคน และความกระชับของหูฟังอย่างต่อเนื่อง
ไมโครโฟนตัวแรกหันออกและตรวจจับเสียงภายนอกเพื่อวิเคราะห์เสียงรบกวนรอบตัว จากนั้น AirPods Pro จะสร้างสัญญาณต้านเสียบรบกวนที่เท่ากันเพื่อตัดเสียงรบกวนรอบๆ ออกก่อนที่เสียงนั้นจะถึงหูผู้ฟัง
ไมโครโฟนตัวที่สองที่หันเข้าจะคอยฟังเสียงในหูเพื่อให้ AirPods Pro สามารถตัดเสียงรบกวนที่เหลือที่ไมโครโฟนตรวจพบได้ โดยในขณะตัดเสียงรบกวนนั้นจะมีการปรับสัญญาณเสียงอย่างต่อเนื่องถึง 200 ครั้งต่อวินาที
โหมดฟังเสียงภายนอก
โหมดฟังเสียงภายนอก หรือ Transparency Mode ใช้ระบบช่องระบายอากาศสำหรับปรับแรงดันให้เท่ากันควบคู่กับซอฟต์แวร์อันล้ำสมัยเพื่อให้การตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟทำงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ใช้ฟังเพลงโดยที่ยังคงได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นเสียงของรถขณะที่วิ่งออกกำลังกาย หรือเสียงประกาศที่สำคัญเกี่ยวกับรถไฟขณะเดินทาง
การสลับระหว่างการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและโหมดฟังเสียงภายนอกนั้นง่ายนิดเดียว และสามารถทำได้โดยตรงบน AirPods Pro โดยใช้เซ็นเซอร์แรงกดบนก้าน
Adaptive EQ
AirPods Pro มาพร้อม Adaptive EQ ที่จะปรับความถี่เสียงต่ำและเสียงกลางของเพลงให้เข้ากับรูปทรงภายในหูของแต่ละคนโดยอัตโนมัติ เพื่อมอบประสบการณ์การฟังที่เต็มอิ่มและสมจริง นอกจากนี้ยังมีตัวขยายสัญญาณแบบเฉพาะที่มีช่วงไดนามิกสูง จึงถ่ายทอดเสียงได้ใสและคมชัด และยังมีส่วนช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นด้วย
ต้านทานน้ำและเหงื่อ
AirPods รุ่นที่ 1 และ 2 ไม่ได้ถูกระบุว่ามีคุณสมบัติทนน้ำและเหงื่อ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสามารถป้องกันได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม AirPods Pro ได้รับการประกาศอย่างชัดเจนว่าสามารถต้านทานน้ำและเหงื่อ ที่ระดับ IPX4 ตามมาตรฐาน IEC 60529 สามารถต้านทานน้ำสาดได้นานสูงสุด 10 นาที
Force Sensor
AirPods รุ่นที่ 1 และ 2 รองรับการควบคุมผ่านการแตะ ซึ่งปรับแต่งได้เพียง 2 ตัวเลือก คือ แตะครั้งเดียว กับแตะสองครั้ง แต่ AirPods Pro มาพร้อม Force Sensor หรือ เซ็นเซอร์แรงกดแบบใหม่ รองรับการควบคุมที่หลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเป็นการแตะครั้งเดียว แตะสองครั้ง แตะสามครั้ง หรือจะแตะค้างไว้
ขนาดและน้ำหนัก
AirPods แต่ละข้าง มีขนาด 40.5 x 16.5 x 18.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 4 กรัม ส่วนเคสชาร์จแบบไร้สาย มีขนาด 53.5 x 44.3 x 21.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 40 กรัม
AirPods Pro แต่ละข้าง มีขนาด 30.9 x 21.8 x 24.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 5.4 กรัม ส่วนเคสชาร์จแบบไร้สาย มีขนาด 45.2 x 60.6 x 21.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 45.6 กรัม
แบตเตอรี่
เมื่อปิดการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและการฟังเสียงภายนอก AirPods Pro จะให้อายุการใช้งานยาวนาน 5 ชั่วโมง สำหรับการฟัง เท่ากับ AirPods รุ่นที่ 2 แต่ถ้าเปิดระบบตัดเสียงรบกวนและการฟังเสียงภายนอก จะให้อายุการใช้งานยาวนาน 4.5 ชั่วโมง
ที่น่าประทับใจก็คือ AirPods Pro ใช้สนทนาได้นานสูงสุด 3.5 ชั่วโมง ขณะที่ AirPods รุ่นที่ 2 ใช้สนทนาได้นานสูงสุด 3 ชั่วโมง
เช่นเดียวกับ AirPods รุ่นที่ 2 เคสชาร์จแบบไร้สายช่วยให้ AirPods Pro ใช้ฟังได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง และสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว เพียงเก็บหูฟังไว้ในเคส 5 นาที สามารถใช้ฟังหรือสนทนาได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง
AirPods Pro มาพร้อมเคสชาร์จแบบไร้สาย เช่นเดียวกับ AirPods แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ AirPods Pro แถมสายเคเบิล Lightning to USB-C ขณะที่ AirPods ใช้สาย Lightning to USB-A
ที่มา – 9to5mac
https://www.flashfly.net/wp/272865