ใกล้ได้เวลาแล้วที่แฟน Apple ในประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าของ iPhone 11 , iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Max Pro ที่มากล้องด้านหลังถึง 3 ตัวและเป็นครั้งแรกที่ iPhone มีชื่อ Pro ต่อท้ายโดยในวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ได้เป็นวันที่ผู้ให้บริการเครือข่าย และตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ได้ออกมาให้เริ่มสั่งจอง iPhone 11 อย่างพร้อมเพรียงกันไปแล้ว ซึ่งผู้ที่สั่งจองจะสามารถได้รับเครื่องในวันวางจำหน่ายวันแรก ซึ่งก็คือวันที่ 18 ตุลาคมนี้ เชื่อแน่ว่าหลายคนได้สั่งจองผ่านช่องทางการจำหน่ายต่างๆกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลายคนกำลังให้ความสนใจและเล็งที่จะเป็นเจ้าของ iPhone 11 กันอยู่
ซึ่งในวันนี้ทางทีมงาน @flashfly จะขอมาแกะกล่อง iPhone 11 Pro Max รุ่นความจุ 512GB สีเขียว Midnight Green เครื่องศูนย์ประเทศไทย มาให้ชมกันก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ว่าภายในกล่องนั้นจะมีอะไรบ้าง
แกะกล่อง
มาเริ่มแกะกล่อง iPhone 11 Pro Max กันเลยโดยตัวกล่องจะเป็นสีดำตัดกับสีของตัวเครื่องเพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับรูปภาพด้านหลังของ iPhone 11 Pro ตามสีที่ผลิตออกมาให้เลือก ซึ่งมีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีเขียวมิดไนท์กรีน สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และ สีทอง ทุกสีมาพร้อมเฉดสีใหม่หมด
ซึ่งสีของโลโก้ Apple และสีโลโก้ iPhone ที่อยู่ด้านบนและด้านข้างก็จะเป็นสีเดียวกับตัวเครื่องเช่นเดียวกัน
ด้านหลังจะบอกความจุของตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆที่แถมมาในในกล่อง
และเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับตัวเครื่อง iPhone 11 Pro Max โชว์ดีไซน์ด้านหลังตัวกล้องแบบเดียวกับที่อยู่บนฝา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Apple ต้องการเน้นให้เห็นระบบกล้องหลัง 3 ตัว ที่โดดเด่นที่สุด
ขณะที่ด้านหน้าจอจะติดแผ่นพลาสติกป้องกันรอยหน้าจอแบบสูญญากาศเอาไว้เพียงด้านเดียวเท่านั้น
ที่ฝากล่องด้านในจะเห็นว่ามีรอยสี่เหลี่ยมยุบลงไป รองรับดีไซน์กล้องด้านหลังที่นูนขึ้นมาจากตัวเครื่อง
เมื่อหยิบตัวเครื่องออกไปก็จะพบกับซองใส่เอกสาร Designed by Apple California ที่จากเดิมจะพบอยู่ด้านบนสุดเมื่อเปิดกล่องออกมา ตอนนี้ถูกย้ายมาวางไว้ด้านล่างตัวเครื่องแทน
ด้านในซองเราก็พบกับเอกสารคู่มือการใช้งานภาษาไทย รวมถึงเอกสารการรับประกันตัวเครื่อง
เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple สีขาวที่หลายคนชอบสะสม
ที่ถาดล่างสุดเราก็จะพบกับอุปกรณ์เสริมที่แถมมาให้ในกล่อง iPhone 11 ดังนี้
หูฟัง EarPods แบบ Lightning
สายเคเบิล USB-C to Lightning
และอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 18 วัตต์ นั่นหมายถึง Apple แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็วมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม ด้วยอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ที่ Apple แถมมาให้ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ iPhone 11 Pro Max ถึง 50% ในเวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น
การออกแบบ
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมจอแสดงผล Super Retina XDR แบบใหม่ ใช้แผง OLED ที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ มีความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล ขนาด 6.5 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 458 ppi สนับสนุนการแสดงผล HDR และ True Tone โดยตัด 3D Touch ออกไป แล้วแทนที่ด้วย Haptic Touch หรือ การแตะค้างแบบสั่น (เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ iPhone XR)
ด้านหลังผลิตด้วยกระจกผิวด้านที่มีความแข็งแรง และใช้กระจกเพียงชิ้นเดียวรวมไถึงส่วนขอบกันชนกล้อง Apple ยืนยันว่า กระจกที่ใช้มีความแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน ส่วนขอบด้านข้างใช้วัสดุสแตนเลสสตีลขัดเงา ซึ่งมีความแข็งแรงกว่าอลูมิเนียมที่ใช้ในสมาร์ทโฟนทั่วไป
iPhone 11 Pro Max ยังได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 สามารถทนน้ำได้ที่ระดับความลึกสูงสุดถึง 4 เมตร นาน 30 นาที จึงสามารถป้องกันน้ำที่อาจจะเผลอทำหกใส่ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
iPhone 11 Pro Max มีดีไซน์เหมือนกับ iPhone 11 Pro แต่ขนาดใหญ่กว่าตามขนาดจอแสดงผล อย่างไรก็ตาม iPhone 11 Pro Max มีความบาง 8.1 มิลลิเมตร เท่ากับ iPhone 11 Pro และมีน้ำหนัก 226 กรัม
กล้องระดับโปร
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องไวด์ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS + กล้องเทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS + กล้องอัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F2.4 สามารถเก็บภาพในมุมมองกว้าง 120 องศา
ด้านซอฟต์แวร์ iPhone 11 Pro Max รองรับโหมดกลางคืน สำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อย และกำลังจะได้รับการอัพเดท Deep Fusion ที่ช่วยให้เก็บภาพได้คมชัดมากยิ่งขึ้น
iPhone 11 Pro Max สามารถสลับไปถ่ายวีดีโอได้ทันทีด้วยฟีเจอร์ QuickTake โดยรองรับการถ่ายวีดีโอสูงสุด 4K ด้วยอัตรา 60 เฟรมต่อวินาที บันทึกเสียงสเตอริโอ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ Audio zoom ช่วยเน้นเสียงของสิ่งที่กำลังซูมเข้าไป
กล้อง TrueDepth หรือระบบกล้องหน้าของ iPhone 11 Pro Max ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน มาพร้อมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 และมีฟีเจอร์ใหม่ Slofie คือการถ่ายวีดีโอในโหมด Slo‑mo ความละเอียด 1080p ด้วยอัตรา 120 เฟรมต่อวินาที
กล้อง TrueDepth ของ iPhone 11 Pro Max ยังสามารถถ่ายภาพ Portrait Mode และ Portrait Lighting ได้เหมือนกล้องหลัง และยังคงรองรับ Face ID, Animoji และ Memoji เหมือน iPhone รุ่นก่อน
ประสิทธิภาพ A13 Bionic แรงที่สุด
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นใหม่ A13 Bionic พร้อมด้วย Neural Engine รุ่นที่ 3 ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่า iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา และยังมีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ iPhone 11 Pro Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone XS Max สูงสุด 5 ชั่วโมง
นอกจากนี้ iPhone 11 Pro Max ยังรองรับเครือข่าย LTE ระดับ Gigabit การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax ได้รับชิปอัลตร้าไวด์แบนด์ และรองรับระบบเสียงสมจริงรอบทิศทาง Dolby Atmos รวมไปถึงคอนเทนต์วีดีโอที่สนับสนุน Dolby Vision และ HDR10
ราคา
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เริ่มเปิดให้จับจองแล้วผ่านทาง 3 ค่ายมือถือรายใหญ่ในไทย AIS, Dtac, TrueMove H และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายพร้อมกัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเขียวมิดไนท์กรีน สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และ สีทอง โดยมีราคาแตกต่างกันดังนี้
- iPhone 11 Pro ความจุ 64GB ราคา 34,900 บาท
- iPhone 11 Pro ความจุ 256GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 11 Pro ความจุ 512GB ราคา 48,900 บาท
- iPhone 11 Pro Max ความจุ 64GB ราคา 39,900 บาท
- iPhone 11 Pro Max ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 11 Pro Max ความจุ 512GB ราคา 52,900 บาท
สำหรับใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศเป็นเจ้าของ iPhone 11 ,iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ที่ Apple ICON SIAM ในวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ทางร้านจะเปิดให้บริการเร็วกว่าปกติเป็นเวลาตั้งแต่เวลา 8.00 น. เป็นต้นไป รวมถึงยังเปิดให้สั่งซื้อผ่านทางร้านค้าออนไลน์ Apple Online Store ในวันนั้นอีกด้วย ทีมงาน @เตรียมไปเกาะติดรายงานสดมาให้ชม ใครตื่นเช้าก็ติดตามกันได้ที่เพจ Flashfly กันอีกเช่นเคย