หลังจาก Apple เปิดตัว iPhone 11 อย่างทางการ ก็ทำให้คิดถึง iPhone 4 ที่ออกมาในเดือนมิถุนายน 2010 เนื่องจากมีความคล้ายกับ iPhone 11 ในแง่ของภาษาการออกแบบ ฟีเจอร์กล้อง และ จอแสดงผล
รุ่นก่อนหน้านั้นอย่าง iPhone 3GS ยังใช้วัสดุพลาสติกผิวมันวาว ด้านหลังโค้ง แต่พอมาถึง iPhone 4 ได้ผลิกโฉมการออกแบบใหม่ ด้วยแผงกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รัดขอบด้านของด้วยกรอบอลูมิเนียม เรียกว่าดีไซน์แซนด์วิช และถูกใช้เป็นแม่แบบให้กับสมาร์ทโฟนอีกหลายรุ่นหลังจากนั้น
iPhone 4 ยังมีจุดเด่นที่จอแสดงผล Retina Display ซึ่งมีความหนาแน่นของพิกเซลสูงถึง 326ppi มากกว่ามาตรฐาน 300ppi ของการพิมพ์ทั่วไป ความหนาแน่นพิกเซลที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มความละเอียดจอแสดงผลเป็น 640 x 960 พิกเซล สูงกว่าเดิม 4 เท่า จาก 320 x 480 พิกเซล
ระบบกล้องของ iPhone 4 ก็ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ด้วยเซ็นเซอร์ 5 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกวีดีโอ HD 720p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเป็นยุคเดียวกับการมาถึงของทีวีระดับ Full HD 1080p ยิ่งไปกว่านั้นกล้องหลังของ iPhone 4 ยังไม่มีขอบกันชนกล้องที่นูนจนเกินงามเหมือน iPhone ในปัจจุบัน
กล้องหน้าของ iPhone 4 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ FaceTime ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสนทนาแบบเห็นหน้า ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานวีดีโอคอลขึ้นมาด้วยตัวเอง
iPhone 4 ยืนระยะอยู่ในตลาดอีกหลายปี โดยเริ่มทำตลาดในปี 2010 และยังอยู่ถึงปลายปี 2014 ในอินเดีย ก่อนที่ Apple จะขึ้นบัญชีเป็นผลิตภัณฑ์ล้าสมัย ในเดือนตุลาคม 2016 ได้รับการอัพเดทถึง iOS 7 และเวอร์ชั่นสุดท้ายก่อนจะถูกหยุดสนับสนุนคือ iOS 7.1.2 ที่ปล่อยออกมาในช่วงปลายปี 2014
อย่างไรก็ตาม iPhone 4 ยังถูกวิจารณ์ในแง่ลบอยู่พักใหญ่ หลังจากพบปัญหาสัญญาณการเชื่อมต่อไร้สายดรอปลง เนื่องจากการออกแบบเสาอากาศที่เชื่อมต่อกับเฟรทโลหะที่รัดอยู่ด้านข้าง และเมื่อจับถือตรงจุดของช่องว่างก็จะทำให้สัญญาณลดลงไป ทำให้ Apple ต้องแก้ไขด้วยการออก Bumper Case เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคุณภาพสัญญาณ และมีการออกแบบเสาอากาศใหม่ใน iPhone 4s
การออกแบบของ iPhone 4 มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก iPhone รุ่นแรก ด้วยจอแสดงผลความละเอียดสูง คุณภาพกล้องระดับแถวหน้า และดีไซน์แบบแซนด์วิช
iPhone 4 – Technical Specifications
ดูสเปก iPhone 4 เพิ่มเติมได้ที่นี่
ที่มา – Gsmarena
https://www.flashfly.net/wp/267494