iPhone XS Max เคยเป็น iPhone ที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ถูกแทนที่แล้วด้วย iPhone 11 Pro Max แต่จะมีคุณสมบัติอะไรที่ได้รับการปรับปรุงบ้าง และดีพอให้เจ้าของ iPhone XS Max อัพเกรดมาซื้อรุ่นใหม่หรือไม่ เราหวังว่าหลังจากได้อ่านข้อมูลเปรียบเทียบแล้ว จะช่วยให้การตัดสินใจทำได้ง่ายขึ้น
จอแสดงผล
iPhone 11 Pro Max และ iPhone XS Max ใช้จอแสดงผล OLED (2688 x 1242 พิกเซล) ขนาด 6.5 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 458 ppi จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) รองรับการแสดงผลแบบ True Tone สนับสนุน HDR10 และ Dolby Vision
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ที่ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ความสว่างสูงสุด 800 นิต (สามารถเพิ่มความสว่างขึ้นสูงสุดเป็น 1,200 นิต เมื่อดูคอนเทนต์ระดับ Extreme Dynamic Range) และเปลี่ยนจาก 3D Touch มาใช้ Haptic Touch ขณะที่ iPhone XS Max ใช้จอภาพ Super Retina HD ที่ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1 ความสว่างสูงสุด 625 นิต
จอแสดงผลของ iPhone XS Max ยังรองรับ 3D Touch แต่จอแสดงผลของ iPhone 11 Pro Max ยังมีจุดเด่นที่สามารถประหยัดพลังงานมากขึ้นสูงสุดถึง 15%
การออกแบบ
iPhone 11 Pro Max มีขนาดบอดี้ 158 x 77.8 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 226 กรัม ซึ่งใหญ่และหนักกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย โดย iPhone XS Max มีขนาดบอดี้ 157.5 x 77.4 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 208 กรัม
ด้านหลังของ iPhone 11 Pro Max ใช้กระจกผิวด้าน และมาพร้อมสีใหม่ สีเขียวมิดไนท์กรีน ขณะที่สีเงิน, สีทอง และ สีเทาสเปซเกรย์ก็ยังมีให้เลือกเหมือน iPhone XS Max
iPhone 11 Pro Max และ iPhone XS Max ได้รับมมาตรฐานกันน้ำ IP68 เหมือนกัน แต่ iPhone 11 Pro Max สามารถอยู่รอดที่ระดับความลึก 4 เมตร ในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที ขณะที่ iPhone XS Max ทนน้ำที่ระดับความลึก 2 เมตร ในระยะเวลาเท่ากัน
Face ID ของ iPhone 11 Pro Max ก็ได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้เร็วขึ้น 30% สแกนใบหน้าได้ไกลยิ่งขึ้นและในมุมมองที่กว้างขึ้น
ชิปประมวลผล
iPhone 11 Pro Max ได้รับชิปรุ่นใหม่ A13 Bionic ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7nm+ EUV และมาพร้อม Neural Engine รุ่นที่ 3 ขณะที่ iPhone XS Max ใช้ชิป A12 Bionic ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7nm และมาพร้อม Neural Engine รุ่นที่ 2
ปัจจุบัน ชิป A12 Bionic ยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของคู่แข่ง แต่ชิป A13 Bionic ก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น คอร์ประมวลผลประสิทธิภาพสูงทั้ง 2 คอร์ของ CPU เร็วขึ้นสูงสุด 20% และใช้พลังงานน้อยลงสูงสุด 30% ในขณะที่คอร์ประหยัดพลังงานทั้ง 4 คอร์ เร็วขึ้นสูงสุด 20%และใช้พลังงานน้อยลงสูงสุด 40% ส่วน GPU เร็วขึ้นสูงสุด 20% และใช้พลังงานน้อยลงสูงสุด 40%
ด้าน Neural Engine เร็วขึ้นสูงสุด 20% ใช้พลังงานน้อยลงสูงสุด 15% และมีระบบ Machine Learning Accelerators ช่วยให้การคำนวณทางคณิตศาสตร์แบบเมทริกซ์เร็วขึ้นถึง 6 เท่า ทำให้ CPU สามารถดำเนินการต่างๆได้มากกว่า 1 ล้านล้านรายการต่อวินาที
ความจุ
iPhone 11 Pro Max และ iPhone XS Max มีให้เลือก 3 รุ่นเหมือนกัน คือ 64GB, 256GB และ 512GB
สำหรับความจำ RAM มีข่าวลือว่า iPhone 11 Pro Max ได้รับ RAM 6GB ซึ่งยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจน แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริง จะมีความจำ RAM สูงกว่า iPhone XS Max ที่มี RAM 4GB
กล้องหลัง
iPhone 11 Pro Max ได้รับการอัพเกรดระบบกล้องหลังอย่างชัดเจน โดยมาพร้อมกล้อง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องไวด์ รูรับแสงขนาด f/1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล, กล้องเทเลโฟโต้ รูรับแสงขนาด f/2.0 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล และกล้องอัลตร้าไวด์ รูรับแสงขนาด f/2.4 มุมมองภาพ 120 องศา เก็บภาพได้กว้างขึ้น 4 เท่า
iPhone XS Max มาพร้อมกล้อง 2 ตัว ประกอบด้วย กล้องไวด์ รูรับแสงขนาด f/1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล และกล้องเทเลโฟโต้ รูรับแสงขนาด f/2.4 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล
นอกจาก iPhone 11 Pro Max จะมีกล้องอัลตร้าไวด์เพิ่มเข้ามาแล้ว ยังได้รับการปรับปรุงซอฟต์แวร์ด้วย ผสานกับการทำงานของชิปรุ่นใหม่ และมาพร้อม Smart HDR เจเนอเรชั่นใหม่ เพิ่มความน่าสนใจด้วย Night Mode มีฟีเจอร์ QuickTake สลับไปโหมดวีดีโอในระหว่างถ่ายภาพนิ่ง และมีฟีเจอร์ Audio Zoom ในโหมดถ่ายวีดีโอ
กล้องหน้า
กล้อง TrueDepth ของ iPhone 11 Pro Max มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล อัพเกรดจากรุ่นก่อนที่มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ Slofie สามารถถ่ายวิดีโอเซลฟี่แบบสโลว์โมชั่นที่ 120 เฟรมต่อวินาที และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับ 4K (iPhone XS Max รองรับสูงสุด 1080p)
การเชื่อมต่อ
iPhone 11 Pro Max สนับสนุนเทคโนโลยี LTE ระดับ Gigabit ที่เร็วกว่ารุ่นก่อน สามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุด 1.6Gbps และมาพร้อมการเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax
นอกจากนี้ยังมีชิป U1 ใช้เทคโนโลยีอัลตร้าไวด์แบนด์สำหรับการรับรู้ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟน และเมื่อ iOS 13.1 เปิดให้ใช้งานในวันที่ 30 กันยายนนี้ AirDrop ก็จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถรับรู้ทิศทางการหันเครื่อง และแนะนำเครื่องที่จะแชร์ไฟล์ด้วยได้
แบตเตอรี่
Apple ไม่ได้เปิดเผยความจุแบตเตอรี่ให้เราได้ทราบ แต่ยืนยันว่า แบตเตอรี่ของ iPhone 11 Pro Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone XS Max สูงสุด 5 ชั่วโมง เล่นวิดีโอ (ผ่านระบบไร้สาย) นานสูงสุด 20 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone XS Max เล่นวิดีโอ (ผ่านระบบไร้สาย) นานสูงสุด 15 ชั่วโมง
ที่สำคัญก็คือ iPhone 11 Pro Max ยังแถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 18W มาให้ในกล่อง สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 50% ในเวลา 30 นาที
ราคา
ปัจจุบัน iPhone XS Max ไม่สามารถทำรายการสั่งซื้อได้แล้วในระบบออนไลน์ของเว็บไซต์ Apple แต่ยังสามารถหาซื้อได้จาก Apple Store และร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาตจาก Apple โดยมีการปรับราคาใหม่ให้ถูกลงกว่าเดิม ตามรายการด้านล่าง
ราคา iPhone XS Max
- 64GB ราคา 35,900 บาท
- 256GB ราคา 41,900 บาท
- 512GB ราคา 45,900 บาท
ราคา iPhone 11 Pro Max
- 64GB ราคา 39,900 บาท
- 256GB ราคา 45,900 บาท
- 512GB ราคา 52,900 บาท
อย่างไรก็ตาม iPhone 11 Pro Max ยังไม่พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่จะเปิดรับจองในสหรัฐอเมริกา, เปอร์โตริโก, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ และอีกกว่า 30 ประเทศและภูมิภาค ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 5:00 น. ตามเวลาแปซิฟิกเป็นต้นไป ก่อนจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2019 เป็นต้นไป
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/267225