Apple เริ่มนำ Face ID มาใช้กับ iPhone X ที่ออกมาในปี 2017 เป็นรุ่นแรก และทำให้ iPhone X เป็น iPhone รุ่นแรกที่มีรอยบาก เพื่อติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth ก่อนที่จะนำมาใช้กับ iPhone รุ่นใหม่ทุกรุ่นที่เปิดตัวในปี 2018 และยังนำมาใช้กับ iPad Pro รุ่นล่าสุดด้วย
Greg Joswiak รองประธานฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้ให้สัมภาษณ์กับ Daily Express สื่อในสหราชอาณาจักร โดยยืนยันว่า Touch ID และ Face ID ยังคงมีความสำคัญทั้งคู่
ผู้บริหารของ Apple กล่าวว่า Face ID เป็นวิธีการปลดล็อคที่ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติมากที่สุด และได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้เร็วขึ้น สามารถสแกนใบหน้าได้หลายมุมมากขึ้น แต่เมื่อถูกถามว่า จะมีการออกแบบใหม่ อย่างเช่นใช้ระบบกล้องป๊อปอัพแบบสมาร์ทโฟน Android หรือไม่ Joswiak ยืนยันว่าจะไม่ทำตามอย่างแน่นอน นั่นหมายถึง iPhone จะยังคงมีรอยบากต่อไป (แต่อาจจะทำให้รอยบากเล็กลงในอนาคต)
สมาร์ทโฟน Android ใช้ฟีเจอร์ Face Unlock ช่วยสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคได้แบบ Face ID แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการสแกนใบหน้าแบบ 2 มิติ แตกต่างจาก Face ID ที่เป็นระบบ 3 มิติ ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า
อย่างไรก็ตาม Face ID มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า Touch ID และนั่นทำให้ Touch ID ยังคงมีความสำคัญกับ iPad ระดับล่าง ซึ่ง Joswiak ก็ยืนยันว่าระบบยืนยันตัวตนทั้ง 2 วิธี ยังคงมีบทบาทกับผลิตภัณฑ์ของ Apple ไปอีกนาน
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/266502