ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ Apple สร้างระบบปฏิบัติการขึ้นมาสำหรับ iPad โดยเฉพาะ เรียกว่า iPadOS ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก iOS 13 แต่ปรับแต่งให้เหมาะสำหรับอุปกรณ์จอสัมผัสขนาดใหญ่ และใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ได้อย่างราบรื่น โดยรองรับ iPad ที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว
- iPad Pro รุ่น 10.5 นิ้ว
- iPad Pro รุ่น 9.7 นิ้ว
- iPad (รุ่นที่ 6)
- iPad (รุ่นที่ 5)
- iPad mini (รุ่นที่ 5)
- iPad mini 4
- iPad Air (รุ่นที่ 3)
- iPad Air 2
New Home Screen
iPadOS มาพร้อมหน้าจอโฮมที่ได้รับการออกแบบโครงสร้างใหม่ เพื่อให้จอภาพขนาดใหญ่ของ iPad ถูกใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด สามารถแสดงแอพในแต่ละหน้าได้มากขึ้น รองรับการปักหมุดวิดเจ็ต Today View (มุมมองวันนี้) ลงบนหน้าจอโฮม ช่วยให้เข้าถึงวิดเจ็ตได้อย่างรวดเร็ว และเหลือบดูข้อมูลอย่างเช่น พาดหัวข่าว พยากรณ์อากาศ ปฏิทิน กิจกรรม เคล็ดลับ และอื่นๆ
Slide Over และ Split View
Slide Over และ Split View ทำให้การใช้งานหลายๆ แอพพร้อมกันเป็นเรื่องง่าย ด้วยมุมมองแยกหน้าจอ Split View ช่วยผู้ใช้ iPad ทำงานกับหลายๆ ไฟล์และเอกสาร จากแอพเดียวกันในเวลาเดียวกัน ขณะที่ Slide Over ช่วยให้ iPad สามารถดูและสลับไปมาระหว่างแอพต่างๆ อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น เจ้าของ iPad สามารถเขียนอีเมลในขณะที่ดูอีเมลอีกฉบับที่อยู่ข้างกัน หรือเข้าถึงหลายๆ แอพ เช่น Messages หรือ Calendar นอกจากนี้ยัง รองรับ App Exposé (กางแอพ) ช่วยให้สามารถดูหน้าต่างที่เปิดอยู่ของแอพใดแอพหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่แตะไอคอนใน Dock
Safari ระดับเดสก์ท็อป
แอพ Safari ได้รับการยกเครื่องใหม่บน iPadOS ให้สามารถท่องเว็บไซต์ต่างๆ ด้วยมุมมองการแสดงผลระดับเดสก์ท็อป โดยปรับขนาดให้เหมาะสมกับจอภาพระลลสัมผัสของ iPad นั่นหมายถึง เจ้าของ iPad จะสามารถทำงานบนเว็บไซต์ต่างๆ ได้เหมือนพีซี ไม่ว่าจะเป็น WordPress, Google Docs, Squarespace แม้แต่เปิดวีดีโอใน YouTube ก็ยังรองรับฟีเจอร์ PIP (picture-in-picture)
Safari บน iOS 13 และ iPadOS ยังมาพร้อมเครื่องมือ Download Manager ซึ่งจะถูกซ่อนไว้จนกว่าผู้ใช้งานจะพบ Link ดาวน์โหลด เมื่อมีการแตะที่ Link จะพบกับหน้าต่างย่อยลอยขึ้นมา โดยมีข้อความถามว่าต้องการดาวน์โหลดไฟล์จาก Link ใช่หรือไม่ พร้อมปุ่ม Download
หลังจากกดปุ่ม Download ผู้ใช้งานยังสามารถดูความคืบหน้า หรือดาวน์โหลดไฟล์อื่นๆ ได้ทันที หากต้องการลบการดาวน์โหลดให้ปัดนิ้วไปทางซ้ายแล้วแตะปุ่ม Delete
ทั้งนี้ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากแอพ Safari จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Downloads ภายในแอพ Files ซึ่งเป็นไดเรกทอรี่บน iCloud Drive และหมายถึงจะถูกจำกัดพื้นที่ไว้ 5GB นอกจากจะมีการเช่าบริการพื้นที่บน iCloud
นอกจากนี้ Safari บน iPad ยังรองรับคุณลักษณะใหม่ๆ ที่สำคัญอีกด้วย อย่างเช่น ปุ่มลัดคีย์บอร์ดใหม่ 30 ตัว และการปรับปรุงการจัดการแท็บ
Apple Pencil
Apple Pencil ก็ได้รับการปรับปรุงให้มีความหน่วงที่ต่ำลง โดยเฉพาะ Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีค่าความหน่วงลดเหลือเพียง 9 มิลลิวินาที จาก 20 มิลลิวินาที จึงให้ความรู้สึกเหมือนเขียนบนแผ่นกระดาษจริงมากขึ้น และมาพร้อมเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับการวาดภาพ จดโน้ต และทำเครื่องหมายสิ่งต่างๆ
iPad ที่รันบน iPadOS สามารถใช้ Apple Pencil ช่วยจับภาพหน้าจอได้ทันที เมื่อปัดหน้าจอขึ้นจากมุมล่างซ้ายหรือขวา พร้อมด้วยเครื่องมือตกแต่งภาพที่ออกแบบใหม่ และยังสามารถจับภาพหน้าจอบน Safari ได้ทั้งหน้าเว็บ พร้อมเพิ่มเติมข้อความ จดบันทึก และเซฟเป็นไฟล์ PDF ได้โดยตรงจากแอพ Files
Apple Pencil ยังมาพร้อมชุดเครื่องมือที่ได้รับออกแบบใหม่ ประกอบด้วย จานสี รูปทรง ยางลบวัตถุ ยางลบพิกเซลใหม่สำหรับลบส่วนใดก็ตามของเส้นขีด และไม้บรรทัดสำหรับวาดเส้นตรง
ปรับปรุงการแก้ไขข้อความ
การแก้ไขข้อความบน iPadOS ทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเคอร์เซอร์ แล้วลากไปยังบริเวณที่คุณต้องการได้อย่างแม่นยำ เลือกกลุ่มข้อความได้อย่างรวดเร็วโดยลากนิ้วให้อยู่เหนือข้อความ หรือ แตะสองครั้งเพื่อเลือกหนึ่งคำ แตะสามครั้งเพื่อเลือกประโยค และแตะสี่ครั้งเพื่อเลือกทั้งย่อหน้า
iPadOS ยังมาพร้อมคำสั่งนิ้วแบบใหม่
- Cut – ใช้ 3 นิ้ว จีบหน้าจอ
- Copy – ใช้ 3 นิ้วจีบหน้าจอ 2 ครั้ง
- Paste – ใช้ 3 นิ้ว แตะบนหน้าจอแล้วถ่างออก
- Undo – แตะหน้าจอ 3 นิ้ว แล้วลากไปทางซ้าย หรือ เคาะหน้าจอ 2 ครั้ง ด้วย 3 นิ้ว
- Redo – แตะหน้าจอ 3 นิ้ว แล้วลากไปทางขวา
- เคาะหน้าจอ 1 ครั้ง ด้วย 3 นิ้ว เพื่อเปิดเมนูทางลัดของ Cut, Copy, Paste, Undo
คีย์บอร์ด
คีย์บอร์ดลอยแบบใหม่ ช่วยประหยัดพื้นที่เพราะมีขนาดเล็กลง เจ้าของ iPad สามารถหยิกนิ้วเพื่อเปิดใช้งานคีย์บอร์ดลอยและลากไปที่ใดก็ได้บนหน้าจอ และยังรองรับ QuickPath จึงสามารถพิมพ์ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างถนัด
iPadOS ยังออกแบบมารองรับ Smart Keyboard ช่วยให้ผู้ใช้งานกดปุ่มลัด เพื่อไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์บนแอพ Safari และจัดการไฟล์ต่างๆ ได้เร็วขึ้น
แอพ Files
แอพ Files เป็นศูนย์กลางสำหรับเข้าถึงและจัดการเอกสารอย่างรวดเร็ว และการรองรับการแชร์โฟลเดอร์ผ่าน iCloud Drive ที่มาพร้อมกับ iPadOS ก็ยิ่งทำให้แอพไฟล์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก ทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ที่แชร์ไว้ จะเห็นโฟลเดอร์นั้นใน iCloud Drive และจะสามารถเข้าถึงเวอร์ชั่นล่าสุดได้เสมอ
มุมมองคอลัมน์ใหม่ พร้อมภาพตัวอย่างความละเอียดสูงช่วยผู้ใช้สำรวจไดเรกทอรี ในขณะที่การรองรับ Quick Actions (การดำเนินการด่วน) อย่างเช่น การขีดเขียน การหมุน และการสร้าง PDF ทำให้การทำงานบน iPad เป็นเรื่องง่าย iPadOS ยังปล่อยที่เก็บข้อมูลในเครื่อง การบีบอัดและแตกไฟล์ ZIP และปุ่มลัดคีย์บอร์ดใหม่ๆ อีกด้วย
iPadOS ยังรองรับไดรฟ์ภายนอกอีกด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเสียบไดรฟ์ USB หรือการ์ด SD หรือลงชื่อเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์ไฟล์ SMB ได้อย่างง่ายดาย
iPadOS ยังมาพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ อีกหลายอย่างแบบเดียวกับที่พบใน iOS 13 ไม่ว่าจะเป็น Dark Mode, Maps, Sign In with Apple, Photos รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นใน App Store ที่มีขนาดแอพเล็กลง ดาวน์โหลดได้รวดเร็วขึ้น พร้อมปรับปรุง Face ID ให้ปลดล็อคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ทางด้านเกมนั้น iPadOS ยังรองรับการเชื่อมต่อกับจอยเกมเครื่องคอนโซลทั้ง PS4 และ Xbox One อีกด้วย สามารถเล่นเกมที่รองรับได้ทุกเกม และยังสามารถนำเอาเมาส์มาเชื่อมต่อใช้งานแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย
คาดว่า Apple จะปล่อยระบบปฏิบัติการ iOS 13 และ iPadOS ออกมาให้เจ้าของ iPhone และ iPad ได้รับการอัพเดทในเดือนกันยายนนี้ พร้อมกับการมาถึงของ iPhone รุ่นใหม่ๆ แต่สำหรับใครที่อยากลองใช้งาน iOS 13 และ iPadOS ก่อนที่ Apple จะปล่อยเวอร์ชั่นสมบูรณ์ออกมา สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่น Public Beta มาทดลองใช้งานได้แล้ววันนี้
iOS 13 และ iPadOS เวอร์ชั่น Public Beta ยังไม่มีความเสถียร และอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ แต่ถ้าผู้ใช้งานยอมรับความเสี่ยง สามารถติดตั้ง Public Beta ได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ (ก่อนติดตั้งตั้ง Public Beta แนะนำให้ทำการสำรองข้อมูลสำคัญก่อนทุกครั้ง)
1. เปิด Safari ใน iPhone หรือ iPad แล้วเข้าไปที่ Beta Program บนเว็บไซต์ทางการของ Apple
2. ให้ทำการ Sign in ลงทะเบียน Apple ID ของผู้ใช้งาน
3. จากนั้นให้คลิกที่เมนู Enroll Your Devices ที่อยู่ด้านบน เป็นการลงทะเบียนอนุญาตใช้งานอุปกรณ์ในการทดสอบ Public Beta
4. เลื่อนหาปุ่ม ‘Download profile’ สีฟ้า จากนั้นให้กดเพื่อทำการติดตั้ง Profile Beta บน iPhone หรือ iPad สำหรับการติดตั้ง Profile ตัว Public Beta
5. เมื่อติดตั้ง Profile ลงในเครื่องเรียบร้อยแล้วให้ทำการ Restart เครื่องหนึ่งรอบ
6. หลังจากที่เปิดเครื่องใหม่แล้วให้ทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi แล้วเข้าไปที่ Settings > General > Software Update.
7. จะพบว่าสามารถดาวน์โหลด iOS 13 Public Beta ให้กด “Download and Install” เป็นอันเรียบร้อย
บทความโดย – www.flashfly.net