macOS Catalina ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดสำหรับ Mac กำลังจะปล่อยออกมาให้อัพเดทในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลังจากได้รับการแนะนำครั้งแรกที่งานประชุมของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Apple Worldwide Developers Conference (WWDC) 2019 ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมาพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ มากมาย รวมถึงการปรับปรุงด้านความปลอดภัย แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ และสนับสนุนการทำงานร่วมกับ iPad ได้อย่างราบรื่น
ก่อนจะข้ามไปดูว่า macOS Catalina มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก็คือ macOS Catalina สนับสนุนการติดตั้งเฉพาะ Mac ที่มีรายชื่อตามรายการด้านล่าง
รายชื่อ Mac ที่สนับสนุน macOS Catalina
- MacBook 2015 และรุ่นใหม่กว่า
- iMac 2012 และรุ่นใหม่กว่า
- MacBook Air 2012 และรุ่นใหม่กว่า
- iMac Pro 2017 และรุ่นใหม่กว่า
- MacBook Pro 2012 และรุ่นใหม่กว่า
- Mac Pro 2013 และรุ่นใหม่กว่า
- Mac mini 2012 และรุ่นใหม่กว่า
iPad Apps for Mac
macOS Catalina ถูกออกแบบมาให้สนับสนุนแอพพลิเคชั่นสำหรับ iPad ด้วยการปล่อย API ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม เพื่อนำแอพจาก iPad ข้ามมาใช้งานบน Mac ได้อย่างง่ายดาย
ในปัจจุบันมีแอพสำหรับ iPad มากกว่าหนึ่งล้านแอพ ครอบคลุมหลากหลายประเภทตั้งแต่การสร้างสรรค์และการทำงานจนถึงการพัฒนา และจากนี้ไปผู้ใช้ก็จะสามารถโต้ตอบกับแอพยอดนิยมบนจอภาพขนาดใหญ่ของ Mac ได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอพ Jira Cloud, Twitter และเกม Asphalt 9
Sidecar
ฟีเจอร์ Sidecar ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เจ้าของ Mac ที่มี iPad สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดย Sidecar จะช่วยให้ iPad กลายเป็นหน้าจอเสริมของ Mac และใช้ประโยชน์จากจอแสดงผลระบบสัมผัสของ iPad กับ Apple Pencil เพื่อทำงานด้านกราฟิกจากแอพ Mac ที่รองรับได้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อวิดีโอด้วย Final Cut Pro X, การวาดรูปด้วย Adobe Illustrator หรือการทำเครื่องหมายบนเอกสาร iWork
นั่นหมายถึงการนำ Apple Pencil มาใช้กับ Mac ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เพราะ Sidecar ถูกสร้างมาเพื่อให้ Apple Pencil ทำงานบน Mac กับแอพที่รองรับได้ โดยควบคุมการใช้งานผ่านจอ iPad อย่างเช่นงานกราฟิกใน Illustrator, แก้ไขรูปภาพใน Affinity Photo, สร้างโมเดล 3 มิติใน ZBrush และยังมีแถบด้านข้างที่นำเอาปุ่มสำคัญต่างๆ อย่าง Command, Control และ Shift มาไว้ให้ใช้งานได้สะดวกด้วยปลายนิ้ว
Sidecar ยังช่วยให้ Mac รองรับการทำงาน 2 หน้าจอ โดยใช้ iPad เป็นจอเสริม และยังเชื่อมต่อกันแบบไร้สายได้เช่นเดียวกับคุณสมบัติความต่อเนื่องอื่นๆ
วิธีการใช้งาน Sidecar
วิธีเชื่อมต่อ iPad กับ Mac เพื่อใช้งาน Sidecar นั่นง่ายมาก ตราบใดที่ใช้อุปกรณ์ที่รองรับคุณสมบัตินี้ เพียงคลิ๊กปุ่ม AirPlay ที่อยู่ในแถบเมนูด้านบนของ Mac เมื่อมีเมนูย่อยเลื่อนลงมา ให้เลือกชื่อ iPad แค่นั้นเอง หลังจากนั้นหน้าจอ iPad จะแสดง Touch Bar ที่ส่วนล่าง และจะพบกับแถบเมนูด้านข้างใหม่ ซึ่งจะมีเครื่องมือเหมือนกับ Mac
ส่วนบนแถบเมนูด้านบนของ Mac จะพบกับไอคอนจอภาพใหม่ แทนที่ไอคอน AirPlay ซึ่งสามารถใช้ตั้งค่าการส่งภาพไปยัง iPad ให้เป็นจอที่ถูก Mirror หรือจอที่สอง และในเมนูเดียวกันนี้ ยังมีตัวเลือกสำหรับจัดการจอแสดงผลของ iPad เช่นซ่อน Touch Bar หรือซ่อนแถบเมนูด้านข้าง
ผู้ใช้งานสามารถส่งหน้าต่างแอพต่างๆ ไปยังหน้าจอ iPad แล้วใช้ประโยชน์จากจอสัมผัสของ iPad ได้เต็มที่ เช่นใช้ Apple Pencil กับแอพด้านกราฟิก
Apple Music
macOS Catalina ไม่มี iTunes ให้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว หลังจากอยู่คู่กับ Mac มาอย่างยาวนานถึง 18 ปี แต่ Apple ได้นำแอพพลิเคชั่น Apple Music, Apple TV และ Apple Podcasts มาใช้งานแทนที่
ผู้ใช้ Mac ยังสามารถเข้าถึงคลังเพลงของตัวเองได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ดาวน์โหลดเก็บไว้ ซื้อเอาไว้ หรือคัดลอกมาจากซีดี ได้จาก Apple Music และยังพบกีบเพลงและมิวสิกวิดีโอใหม่ๆ ที่มีให้เลือกกว่า 50 ล้านเพลง และยังสามารถซื้อเพลงได้ง่ายๆ จาก iTunes Music Store
Apple TV
แอพ Apple TV สำหรับ Mac ได้รับการออกแบบใหม่หมด รวมการค้นหา รับชมภาพยนตร์และรายการทีวีไว้มากมายในแอพเดียว ภายในแอพยังมาพร้อมช่อง Apple TV คำแนะนำที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานแต่ละบุคคล รวมถึงภาพยนตร์ iTunes และรายการทีวีกว่า 100,000 เรื่อง ที่สามารถเลือกดู ซื้อ หรือ เช่าได้
แอพ Apple TV ยังรองรับภาพยนตร์ระดับ 4K HDR ที่สนับสนุนระบบเสียง Dolby Atmos และมาพร้อมแถบ “ดูตอนนี้” เพื่อดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างในเวลานี้ แถบ “รายการถัดไป” สำหรับติดตามสิ่งที่กำลังดูอยู่และดูต่อจากที่ค้างไว้บนหน้าจอใดก็ได้
ภายในปีนี้ แอพ Apple TV จะได้รับบริการใหม่ที่เรียกว่า Apple TV+ บริการแบบบอกรับสมาชิกเพื่อรับชมวิดีโอที่ Apple ผลิตขึ้นเอง รวมทั้งภาพยนตร์ สารคดี และรายการทีวีที่น่าสนใจจากพาร์ทเนอร์ ที่เป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก
Apple Podcasts
แอพ Apple Podcasts บน Mac ได้รับหมวดหมู่ใหม่ๆ คอลเลกชั่นที่คัดสรรโดยบรรณาธิการทั่วโลก และเครื่องมือการค้นหาขั้นสูงที่สามารถค้นหาตอนใหม่ๆ จากพิธีกร แขกรักเชิญ หรือแม้แต่หัวข้อการพูดคุยได้
Apple Podcasts มีพ็อดคาสต์มากกว่า 700,000 รายการ ในแค็ตตาล็อก และมีตัวเลือกรับการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติทันทีที่มีตอนใหม่เข้ามา และในแถบ “ฟังตอนนี้” ยังสามารถฟังพ็อดคาสต์ต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างง่ายดายบนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่รองรับ
สำหรับผู้ใช้งาน Mac ที่ต้องการซิงค์สื่อต่างๆ เข้ากับอุปกรณ์ ผ่านการต่อสายสามารถซิงค์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยแอพพลิเคชั่นใหม่ เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับ Mac อุปกรณ์นั้นจะแสดงขึ้นทันทีบนแถบด้านข้างของ Finder ผู้ใช้จึงสามารถสำรองข้อมูล อัพเดท หรือกู้คืนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย
Find My
เช่นเดียวกับ iOS 13 และ iPadOS แอพ Find My iPhone และ Find My Friends ถูกรวมให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วเรียกว่าแอพ Find My สามารถระบุตำแหน่งของ Mac ที่หายไปได้ ไม่ว่าเครื่องจะออฟไลน์หรืออยู่ในโหมดพักก็ตาม
เมื่อ Mac ถูกขโมบหรือสูญหาย เครื่องจะส่งสัญญาณ Bluetooth ออกไป ทำให้อุปกรณ์ Apple ที่ใช้งานอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสามารถตรวจจับได้ จากนั้นอุปกรณ์เหล่านั้นจะรายงานตำแหน่งที่ตรวจจับ Mac ของผู้ใช้งานกลับมายัง iCloud จึงสามารถระบุตำแหน่งที่เจอได้ง่ายๆ ภายในแอพ Find My
Apple ยืนยันว่าสัญญาณ Bluetooth ที่ส่งออกมาจากเครื่องที่สูญหายจะใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เพราะใช้วิธี ส่งข้อมูลไปกับการรับส่งข้อมูลเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ และอุปกรณ์ Apple ที่ถูกสร้างเป็นเครือข่ายจะไม่มีการระบุตัวตน และมีการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นจนจบ จึงไม่มีใครแม้แต่ Apple ที่จะระบุตำแหน่งอุปกรณ์ที่ช่วยรายงานหรือแจ้งพิกัดเครื่องที่หาย
Screen Time
Apple ได้นำฟีเจอร์เวลาหน้าจอ หรือ Screen Time มาใช้บน Mac ใน macOS Catalina ช่วยให้ผู้ใช้ทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ไปในแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ต่างๆ พร้อมด้วยเครื่องมือที่จะช่วยตัดสินใจว่าควรใช้เวลาอย่างไร
Screen Time ยังได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งาน Mac โดยมาพร้อมคุณสมบัติ “อีกหนึ่งนาที” ที่ช่วยยืดเวลาให้ผู้ใช้บันทึกงานหรือออกจากเกมได้ทัน ผู้ใช้ยังสามารถกำหนดช่วงเวลาที่จะไม่ใช้ Mac และจำกัดเวลาที่ต้องการใช้ในแอพเว็บไซต์ หรือแอพแต่ละประเภทได้ อีกทั้งยังมี iCloud ที่ช่วยให้ผู้ใช้ซิงค์การตั้งค่า “เวลาหน้าจอ” และรวมข้อมูลการใช้งานจาก iPhone, iPad และ Mac ของตนเข้าด้วยกันแบบเป็นส่วนตัว ผ่านการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
นอกจากนี้ Screen Time ยังมีคุณสมบัติ “การแชร์กันในครอบครัว” ที่มาพร้อมครื่องมือใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองจัดการกับการใช้อุปกรณ์ของเด็กๆ ได้ดียิ่งขึ้น เช่น เลือกได้ว่าต้องการให้เด็กคุยกับใครในช่วงเวลาใด
Accessibility
Accessibility หรือการช่วยการเข้าถึงใน macOS Catalina มาพร้อมกับเทคโนโลยีการช่วยการเข้าถึงใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถใช้งาน Mac ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด อย่างการควบคุมด้วยเสียง คือ เทคโนโลยีแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีปัญหาในการใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องป้อนข้อมูลแบบดั้งเดิมสามารถควบคุม Mac โดยใช้เสียงเพียงอย่างเดียว
การควบคุมด้วยเสียง ใช้เทคโนโลยีการรู้จำเสียงของ Siri บนอุปกรณ์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใส่ป้ายและตารางแบบใหม่ ด้วยการโต้ตอบกับแอพได้แบบเสมือนจริง หรือไปยังส่วนต่างๆ ใน Mac ได้อย่างง่ายดายโดยใช้แค่เสียงของผู้ใช้งานสั่งการ และยังรักษาข้อมูลของผู้ใช้ให้เป็นส่วนตัว
การควบคุมด้วยเสียง มาพร้อมฟีเจอร์ “การป้อนตามคำบอก” และการแก้ไขข้อความแบบซับซ้อนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ช่วยให้การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีชุดคำสั่งแบบครอบคลุมที่สามารถเปิดและใช้งานแอพอย่างง่ายดาย
Security
macOS Catalina มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ยกระดับไปอีกขั้นเพื่อปกป้อง Mac จากการคุกคามต่างๆ ได้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น
Gatekeeper ใน macOS Catalina จะตรวจสอบแอพทั้งหมดว่ามีปัญหาด้านความปลอดภัยที่ทราบอยู่แล้วหรือไม่ และยังมีการปกป้องข้อมูลแบบใหม่ที่กำหนดให้แอพทั้งหมดต้องขออนุญาตก่อนเข้าถึงเอกสารของผู้ใช้
macOS Catalina ยังมีคุณสมบัติ “อนุมัติด้วย Apple Watch” ที่ให้ผู้ใช้งานอนุมัติคำขอด้านความปลอดภัยหลายประเภทได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะปุ่มด้านข้างบน Apple Watch
นอกจากนี้ Mac ทุกรุ่นที่มีชิพ T2 Security ยังรองรับคุณสมบัติ “ล็อคการเข้าใช้เครื่อง” ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เครื่องจะตกเป็นเป้าหมายของโจร อีกทั้งยังมีแอพ Find My ใหม่ ที่เรากล่าวไปแล้วข้างต้น
Apple จะปล่อยระบบปฏิบัติการ macOS Catalina ออกมาให้เจ้าของ Mac (รุ่นที่รองรับ) ได้อัพเดทฟรี!! ในเร็วๆ นี้ (คาดว่าจะปล่อยออกมาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้) แต่ถ้าใครต้องการทดลองใช้งาน macOS Catalina เวอร์ชั่น Public Beta สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งได้แล้ว โดยทำตามวิธีการด้านล่าง (สำหรับผู้ใช้งานที่ยังไม่เคยติดตั้งโปรแกรม Beta มาก่อน)
1. เข้าไปที่หน้า Beta Program บนเว็บไซต์ทางการของ Apple
2. ลงทะเบียน Apple ID ของผู้ใช้งาน
3. หลังจากลงชื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้เข้าไปที่แท็บ MacOS แล้วอ่านคำแนะนำ
4. ให้ลงทะเบียน Mac ใน Beta Program โดยการติดตั้ง MacOS Public Beta Access Utility
5. หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อย Utility จะเปิด Software Update ใน System Preferences และแจ้งให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลด macOS เวอร์ชั่น Public Beta
6. คลิก Download เพื่อรับซอฟต์แวร์ Public Beta
7. เข้าไปที่ Software Update ใน System Preferences เพื่อทำการอัพเกรดซอฟต์แวร์
8. คลิก Upgrade Now (ไฟล์ดาวน์โหลดมีขนาดประมาณ 6.5GB เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้ว ผู้ใช้งานจะได้แอพ Install MacOS Catalina Beta อยู่ในโฟลเดอร์ Applications)
9. เปิดแอพ Install MacOS Catalina Beta แล้วทำตามคำแนะนำในกระบวนการติดตั้งจนเสร็จสมบูรณ์
ทั้งนี้ macOS Catalina เวอร์ชั่น Public Beta ยังเป็นเวอร์ชั่นทดสอบ ซึ่งอาจพบข้อผิดพลาดบ้าง ดังนั้น ก่อนทำการติดตั้งควรทำการสำรองข้อมูลสำคัญก่อนทุกครั้ง
บทความโดย – www.flashfly.net