Samsung ยกระดับพรีเมี่ยมสมาร์ทโฟน Galaxy Note series ให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นกับ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note Note 10+ เป็นครั้งแรกที่ซีรีย์โน็ตมีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ แต่ยังคงประสบการณ์การใช้งานรอบด้านที่สมบูรณ์แบบ สมกับเป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของปีจาก Samsung ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่สวยหรู ปากกา S Pen ที่ฉลาดกว่าเดิม โหมด DeX ที่เชื่อมต่อและใช้งานได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงคุณภาพกล้องให้ดีขึ้นไม่ว่าจะถ่ายภาพนิ่งหรือวีดีโอ และมีประสิทธิภาพแรงที่สุดเท่าที่เรือธงของ Samsung เคยมีมา ซึ่งตอนนี้ก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เปิดตัวไปในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มาชมรีวิวฉบับเต็มกันได้เลย
แกะกล่องกันก่อน
ก่อนจะเลื่อนลงไปอ่านรีวิว เราขอแกะกล่องให้ดูกันก่อนว่า Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ แถมอะไรมาให้บ้าง โดยตัวกล่องจะเป็นสีดำมีเพียงรูป S Pen ตามสีตัวเครื่องปรากฎอยู่ โดยในรุ่น Galaxy Note 10+ สี Aura Glow ตัว S Pen จะเป็นสีน้ำเงิน
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับสมาร์ทโฟน ที่มาพร้อมปากกา S Pen ทั้ง Galaxy Note 10 และ Note 10+ ติดฟิล์มกันรอยมาให้แล้วจากโรงงาน และแถมเคสมาให้ด้วยไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม
หูฟังที่แถมมาให้เป็นแบบ In-Ear พร้อมจุกหูฟังอีก 2 ขนาด เพื่อให้พอดีกับหูของแต่ละบุคคล โดยหูฟังได้รับการปรับแต่งเสียงจาก AKG ปลายสายเป็น USB-C เพราะ Galaxy Note series ไม่มีช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
USB-C Power Adapter หรือที่ชาร์จที่ใส่มาให้ในกล่อง รองรับชาร์จเร็ว 25 วัตต์ และไม่ลืมแถมสาย USB-C มาให้ด้วย
นอกจากนี้ ยังแถมหัวปากกา S Pen พร้อมที่คีบช่วยเปลี่ยนหัวปากกา มีเข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด และเอกสารต่างๆ อย่างคู่มือ บัตรรับประกันสินค้า
ภายในกล่องของ Galaxy Note 10 และ Note 10+ มีอุปกรณ์ต่างๆ มาให้เหมือนกัน รวมถึง USB-C Power Adapter ที่รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 25 วัตต์ แต่ Galaxy Note 10+ รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 45 วัตต์ ดังนั้น เจ้าของ Note 10+ ที่ต้องการชาร์จแบตเตอรี่ให้ไวกว่ายิ่งขึ้น ต้องซื้อ USB-C Power Adapter ที่รองรับ 45 วัตต์ แยกต่างหาก
ดีไซน์ใหม่หมดสีสันสะดุดตา มีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ
Samsung Galaxy Note 10 series โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบ ด้วยจอแสดงผล Dynamic AMOLED Infinity-O Display ดีไซน์ไร้กรอบ ขอบโค้งทั้งสองข้าง และเจาะรูตรงกึ่งกลางสำหรับวางกล้องเซลฟี่ โดยมีขนาดรูที่เล็กกว่า Galaxy S10 series ที่ออกมาทำตลาดในช่วงครึ่งปีแรก
สีสันสะดุดตา!! Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มีให้เลือกหลายสีสันแตกต่างกันไป แต่ทั้งคู่จะได้รับสีเงิน Aura Glow เหมือนกัน ซึ่งโดดเด่นกว่าสีอื่นๆ เพราะพื้นผิวมีลักษณะสะท้อนเงา ทำให้มีโทนสีแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม และยังมีประกายสีรุ้งเมื่อกระทบแสง ขณะที่ส่วนขอบจะเป็นโลหะขัดเงาให้ความรู้สึกแข็งแรงและดูพรีเมี่ยม
Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ถูกออกแบบมาให้มีความบางเป็นพิเศษ เพียง 7.9 มิลลิเมตร ขณะที่ Galaxy Note 9 ในปีที่แล้ว มีความบาง 8.8 มิลลิเมตร เชื่อว่าความบางเฉียบต้องแลกมาด้วยการตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไป
น้ำหนักก็เบาลงด้วย Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มีน้ำหนัก 168 กรัม และ 196 กรัมตามลำดับ ขณะที่ Galaxy Note 9 มีน้ำหนัก 201 กรัม
ไม่เพียงแค่นั้น S Pen รุ่นใหม่ก็เบาเพียง 3.04 กรัม เทียบกับรุ่นก่อนที่มีน้ำหนัก 3.1 กรัม ถึงจะเบากว่าเดิม แต่กลับมีความทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyro แบบ 6 แกน ไว้ในตัวปากกา ทำให้ S Pen ของ Galaxy Note 10 series สามารถควบคุมสมาร์ทโฟนได้ด้วยท่าทาง หรือตวัดปากกาในอากาศ
Galaxy Note 10 มีขนาดเล็กกว่า Galaxy Note 10+ ด้วยจอแสดงผล 2280 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.3 นิ้ว ขณะที่รุ่นใหญ่มีความละเอียด 3040 x 1440 พิกเซล ขนาด 6.8 นิ้ว ถึงจะมีความละเอียดและขนาดแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่สนับสนุนมาตรฐาน HDR10+ เหมือนกัน และใช้จอ Dynamic AMOLED Infinity-O Display แบบเดียวกัน จึงให้ประสบการณ์ในการรับชมภาพที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
จอแสดงผลของ Galaxy Note 10 series มาพร้อม Dynamic Tone Mapping แสดงสีสันของวีดีโออย่างถูกต้องแม่นยำ ให้ความสว่างสูงสุดถึง 1200 nits อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ขอบเขตสีกว้าง 100% ในช่วงสี DCI-P3 และผ่านการรับรองมาตรฐานลดผลกระทบที่เป็นอันตรายจากแสงสีฟ้า จากสถาบัน TUV Rheinland
ใต้จอแสดงผลของ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ยังติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบอัลตร้าโซนิค ที่ได้รับการปรับปรุงให้สแกนลายนิ้วมือได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น
ส่วนบนของจอแสดงผล ยังซ่อนเซ็นเซอร์ตรวจจับแสงและระยะห่าง ฝังกล้องเซลฟี่ 10 ล้านพิกเซล ไว้ในรูตรงกึ่งกลาง และติดตั้งลำโพงไว้ชิดขอบบนอย่างแนบเนียน
Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ใช้ดีไซน์เดียวกันทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แต่ด้านหลังจะมองเห็นความแตกต่างได้ง่าย เพราะรุ่นใหญ่จะมีกล้องตัวที่ 4 เสริมเข้ามา
อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มีส่วนขอบที่บางเป็นพิเศษ เพียง 7.9 มิลลิเมตร และฝั่งซ้ายของจอแสดงผล ก็ไม่มีปุ่มกดติดตั้งอยู่เลย
สาเหตุที่ฝั่งซ้ายของจอแสดงผลไม่มีการติดตั้งปุ่มกดมาให้ เพราะย้ายปุ่มเพาเวอร์มาไว้อีกข้าง ใต้ปุ่มปรับระดับเสียง แทนที่ปุ่ม Bixby ที่เคยพบในรุ่นก่อน
ด้านบนมีรูไมโครโฟนอีกหนึ่งตัว (Galaxy Note 10 series มีไมโครโฟน 3 ตัว) รูวงรีตามคู่มือระบุว่าเป็นตำแหน่งของลำโพง และตรงมุมเป็นถาดใส่ซิมการ์ด โดย Galaxy Note 10 รองรับ 2 ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ไม่รองรับการ์ด MicroSD แตกต่างจาก Galaxy Note 10+ ที่ช่อง SIM2 เป็นแบบไฮบริด คือ สามารถใส่การ์ด MicroSD แทนซิมการ์ดได้ รองรับความจุสูงสุด 1TB
ด้านล่างมีไมโครโฟนตัวหลัก พอร์ต USB-C ลำโพงตัวหลัก และ ช่องเสียบ S Pen ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรมาให้แล้ว แต่หูฟังจาก AKG ที่แถมมาให้ในกล่อง ก็เป็นพอร์ต USB-C ไม่ต้องใช้ Adapter แปลงแจ็คมาพ่วงต่อให้ยุ่งยาก
Galaxy Note 10 และ Note 10+ ทั้งตัวสมาร์ทโฟนและปากกา S pen ยังได้รับการออกแบบให้กันน้ำได้ในระดับ IP68 สามารถกันน้ำสะอาดที่ความลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที แต่มีไว้สำหรับการป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น ไม่แนะนำให้นำอุปกรณ์ลงไปใช้งานในน้ำ เพราะการรับประกันจะไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายจากน้ำหรือฝุ่น
สเปกจัดเต็ม Exynos 9825 แรม 12GB ความจุ 512GB
Galaxy Note 10 และ Note 10+ ทำงานบนพื้นฐาน Android 9 Pie แต่จากประวัติที่ผ่านมาทำให้เชื่อว่า Galaxy Note 10 series จะได้รับการอัพเดทไปใช้ Android 10 ที่จะปล่อยออกมาในอนาคตเร็วกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ของ Samsung เนื่องจากเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมของบริษัทฯ
ด้านชิปประมวลผลก็ได้รับการอัพเกรดจากเรือธง Galaxy S10 series ที่ออกมาในช่วงครึ่งปีแรก โดยใช้ชิปรุ่นใหม่ล่าสุด Exynos 9825 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร EUV (Extreme Ultraviolet) มาพร้อม Neural Processing Unit (NPU) สำหรับประมวลผลด้าน AI และประมวลผลด้านกราฟิกด้วย ARM Mali-G76 MP12 อีกทั้งยังมีระบบระบายความร้อน Vapor Chamber เพื่อให้เล่นเกมได้ยาวนานขึ้น
สำหรับหน่วยความจำ Galaxy Note 10 ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย มีตัวเลือกเดียว คือ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 256GB ไม่รองรับการ์ด MicroSD ส่วนรุ่นใหญ่ Galaxy Note 10+ มาพร้อม RAM 12GB และมีให้เลือก 2 รุ่น คือ ROM 256GB กับ 512GB และยังรองรับการ์ด MicroSD สูงสุด 1TB (ต้องเลือกใช้งานระหว่าง SIM2 หรือการ์ด MicroSD)
Galaxy Note 10+ มาพร้อมแบตเตอรี่ 4300mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบมีสาย 45 วัตต์ หรือชาร์จเร็วแบบไร้สาย 15 วัตต์ ขณะที่ Galaxy Note 10 มาพร้อมแบตเตอรี่ 3500mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบมีสาย 25 วัตต์
หรือชาร์จเร็วแบบไร้สาย 12 วัตต์ ทั้งคู่ยังสนับสนุนฟีเจอร์ Wireless PowerShare สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์เครื่องอื่นในรูปแบบไร้สาย เพียงนำอุปกรณ์มาวางบนด้านหลังของสมาร์ทโฟน
S Pen ปากกาอัจฉริยะ สั่งงานด้วย Air Action การโบกหรือตวัดปากกาในอากาศ
S Pen เป็นไฮไลท์ของ Galaxy Note มาตั้งแต่รุ่นแรก โดยถูกออกแบบมาให้วาดเขียนได้อย่างคล่องตัวและเป็นธรรมชาติ ก่อนจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในปีที่แล้ว โดยสามารถใช้เป็นรีโมทควบคุม Galaxy Note 9 ได้หลายฟีเจอร์ และถูกยกเครื่องอีกครั้งกับ Galaxy Note 10 series
อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้น S Pen ของ Galaxy Note 10 series ถูกติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyro แบบ 6 แกน ไว้ภายใน แต่กลับมีน้ำหนักเบากว่า S Pen ของ Galaxy Note 9 และด้วยเซ็นเซอร์ Gyro ช่วยให้ S Pen รุ่นใหม่ สามารถออกคำสั่งท่าทาง หรือการตวัด S Pen ในอากาศ เพื่อควบคุมฟีเจอร์ต่างๆ บน Galaxy Note 10 และ Note 10+ โดยทาง Samsung เรียกว่า Air Action
Air Action ช่วยให้ S Pen ควบคุม Galaxy Note 10 series ด้วยการโบกหรือตวัดปากกาในอากาศ อย่างเช่น
- ในแอพพลิเคชั่น Gallery สามารถเลื่อนเปลี่ยนรูปภาพได้โดยการตวัดปากกา S Pen ไปทางซ้าย หรือขวา
- ในโหมดกล้องหน้า สามารถหมุนปากกา S Pen ตามเข็ม หรือทวนเข็มนาฬิกา เพื่อซูมภาพเข้า หรือออก
- ในแอพพลิเคชั่นเพลง สามารถตวัดปากกา S Pen ขึ้น หรือลง เพื่อเพิ่มหรือลดระดับเสียง
S Pen ของ Galaxy Note 10 series ยังใช้เป็นรีโมทควบคุมสมาร์ทโฟน ได้เหมือนรุ่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมงานนำเสนอ สั่งกดถ่ายรูป เล่นและหยุดวีดีโอ หรือจะควบคุมการเล่นเกมด้วย S Pen ก็ทำได้เช่นกัน อย่างเกม Harry Potter: Wizards Unite สามารถใช้ S Pen ร่ายคาถาแทนไม้กายสิทธิ์ได้
AR Doodle เป็นอีกจุดเด่นของ S Pen รุ่นใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวาดลายเส้นที่เปล่งแสงเหมือนหลอดไฟนีออนลอยอยู่ในอากาศได้ ในระหว่างถ่ายภาพนิ่งหรือวีดีโอ
การถ่ายภาพนิ่ง สามารถใช้ AR Doodle ตกแต่งใบหน้า และลายเส้นที่วาดลงไปจะติดตามการเคลื่อนไปด้วยตลอด เช่น วาดหูแมวให้ไว้บนในหน้า หูแมวนั้นก็จะเกาะติดไว้ตลอด ไม่ว่าใบหน้าจะขยับไปทางใด และยังจดจำได้หลายใบหน้า นั่นหมายถึง การถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนๆ จะมีความสนุกขึ้น
การบันทึกวีดีโอก็เช่นกัน สามารถใช้ AR Doodle มาเพิ่มวาดลายเส้นเพิ่มความสนุกได้ และลายเส้นนั้นก็ลอยอยู่ในทุกเฟรมของวีดีโอ ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างสรรค์วีดีโอที่มีเอฟเฟกต์ไม่ซ้ำใคร
แอพพลิเคชั่น Samsung Notes ได้รับการอัพเดทใหม่ เพิ่มความสามารถให้ S Pen สามารถปรับขนาดหัวปากกาหรือหมึกได้ รวมถึงสี และความหนาของลายเส้น รองรับฟีเจอร์การแปลงลายมือเป็นตัวอักษรดิจิตอล เพียงเขียนข้อความต่างๆ จากนั้นแตะที่ข้อความ แล้วเลือก Convert เพื่อแปลงเป็นตัวอักษรดิจิตอล สนับสนุนทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
Screen off memo สามารถเปลี่ยนสีของปากกาได้แล้ว มีให้เลือก 5 สี สามารถจดบันทึกด่วน แล้วเลือกสีที่แตกต่างกันเพื่อไฮไลท์ข้อความ สามารถบันทึกไว้แก้ไขเพิ่มเติมใน Samsung Notes หรือปักหมุดไว้บน Always On Display
S Pen จะชาร์จแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติเมื่อเสียบปากกาเข้ากับสมาร์ทโฟน Galaxy Note 10 series โดยใช้เวลาชาร์จเพียง 6 นาที สามารถสแตนด์บายได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ส่วนการควบคุมสมาร์ทโฟนจากระยะไกล ตัวปากกา S Pen จะต้องอยู่ในรัศมี 10 เมตรจากสมาร์ทโฟน
สมาร์ทโฟนกล้องที่ดีที่สุดในโลกจาก DxO Mark
กล้องเซลฟี่ของ Galaxy Note 10 และ Note 10+ ถูกฝังไว้ในรูตรงกึ่งกลางจอแสดงผล ซึ่งเคยทำมาแล้วใน Galaxy S10 series แต่ Galaxy Note 10 series จะมีขนาดรูที่เล็กกว่า จึงได้พื้นที่จอแสดงผลเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และทั้ง 2 รุ่น ยังใช้สเปกกล้องเหมือนกัน คือ มีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 80 องศา รูรับแสง F2.2
กล้องหน้าของ Galaxy Note 10 series รองรับการถ่ายวีดีโอในโหมด Live Focus ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวแบบหน้าชัด-หลังละลาย ปรับความเบลอฉากได้ได้ ใส่เอฟเฟกต์โบเก้ เปลี่ยนฉากหลังเป็นสีขาวดำ และมีเอฟเฟกต์ภาพแบบย้อนยุค
กล้องหลังของ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note Note 10+ ประกอบไปด้วยกล้องมุมกว้างพิเศษ 123 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2, กล้องตัวหลัก 12 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 77 องศา รูรับแสง ปรับได้ระหว่าง F1.5 กับ F2.4 มีระบบลดภาพสั่นไหว OIS และกล้องเทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.1 มีระบบลดภาพสั่นไหว OIS
สำหรับ Galaxy Note 10+ จะมีกล้องเสริมที่เรียกว่า DepthVision Camera ช่วยจับระยะชัดลึก
ด้วยสเปกกล้องระดับนี้ทำให้ Galaxy Note 10+ 5G ได้คะแนนทดสอบจาก DxO Mark ได้คะแนนกล้องสมาร์ทโฟนสูงที่สุดในตารางอยู่ตอนนี้ เหนือคู่แข่งอย่าง Huawei P30 Pro รวมถึง Galaxy S10 5G ไปเป็นที่เรียบร้อยทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ถึงแม้ Galaxy Note 10+ จะมีกล้องตัวที่ 4 หรือ DepthVision Camera ที่ช่วยควบคุมระยะชัดลึกได้แม่นยำขึ้น แต่ Galaxy Note 10 ก็มีซอฟต์แวร์ช่วยจับระยะชัดลึกได้เช่นกัน ทำให้สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก แต่การแยกฉากหลังออกจากตัวบุคคลหรือวัตถุเบื้องหน้า Galaxy Note 10+ จะทำได้ดีกว่า
สำหรับโหมดการถ่ายภาพนั้น ก็มาให้ใช้งานครบทุกฟีเจอร์ตั้งแต่โหมด รูปถ่าย ที่เลือก 3 ระยะ ใกล้ กลาง ไกล,โหมดไลฟ์โฟกัสเลือกได้ 2 ระยะพร้อมเอ็ฟเฟ็ค เบลอ,วงกลมขนาดใหญ่,สปิน,ซูม และคัลเลอร์พอยท์ ,โหมดถ่ายภาพอาหาร ,โหมดโปรที่ปรับแต่งค่าต่างๆได้เอง ,โหมดถ่ายภาพกลางคืน ในการรวมภาพถ่ายหลายภาพในเวลาไม่กี่วินาทีมาเป็นภาพๆเดียวที่สวยงาม รวมถึงโหมด Instagram ที่กดถ่ายจาก Galaxy Note 10 แล้วแชร์ไปยัง Instagram ส่วนตัวได้ทันที
สำหรับโหมดถ่ายวิดีโอนั้นเลือกได้ 2 ระยะ มีโหมดใหม่กับวิดีโอไลฟ์โฟกัส พร้อมเอ็ฟเฟ็ค เบลอ,วงกลมขนาดใหญ่,คัลเลอร์พอยท์ และ กลิตซ์ ให้คลิปที่ได้ดูโปรยิ่งขึ้น นอกจากนี้โหมด Slow motion และโหมด Super Slow-mo ก็ยังคงมีให้ใช้งานเช่นเคย
ผู้ใช้งาน Galaxy Note 10+ จะได้รับประโยชน์จาก DepthVision Camera อย่างแท้จริง เมื่อใช้งานด้าน AR เช่นแอพ Quick Measure ที่ช่วยวัดขนาดสิ่งของต่างๆ หรือแอพ 3D Scanner ที่สามารถสแกนวัตถุแล้วสร้างเป็นโมเดล 3 มิติ
การถ่ายวีดีโอด้วยกล้องหลัง รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที สนับสนุน HDR10+ และ Dynamic Tone Mapping มีจุดเด่นที่โหมดกันสั่นอัจฉริยะ Super Steady ใช้ได้ทั้งกล้องหลักและกล้องเทเลโฟโต้ เหมาะสำหรับการถ่ายวีดีโอในขณะที่ผู้ใช้งานกำลังเคลื่อนไหว สามารถลดภาพสั่นไหวในระดับเดียวกับกล้อง Action Camera นอกจากนี้ยังรองรับโหมด Live Focus ในวีดีโอได้เช่นเดียวกับกล้องเซลฟี่
Galaxy Note 10 series ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Zoom-in Mic โดยอาศัยประโยชน์จากไมโครโฟนที่ติดตั้งมาให้ 3 ตัว ในระหว่างบันทึกวีดีโอ สามารถซูมไปยังสิ่งที่ต้องการได้ยินเสียงดังเป็นพิเศษ อย่างเช่นการถ่ายวีดีโอระหว่างฟังบรรยาย
หลังจากถ่ายวีดีโอเสร็จแล้ว ก็สามารถตัดต่อวีดีโอได้ง่ายๆ ด้วยปากกา S Pen ช่วยตัดต่อวีดีโอ เพิ่มเอฟเฟกต์ แทรกเสียง ใส่คำบรรยาย แทรกรูปภาพหรือวีดีโอ ปรับความเร็ว รวมถึงใช้ S Pen วาดเขียนลงในวีดีโอ
โดยปกติแล้ว ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนจะตั้งค่ากล้องต่างๆ ด้วยการสัมผัสหน้าจอ แต่ไม่ใช่กับ Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ เพราะ S Pen ได้รับการอัพเกรดให้ควบคุมฟีเจอร์กล้องได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เป็นรีโมทสั่งถ่ายภาพเท่านั้น
ผู้ใช้งาน Galaxy Note 10 series สามารถใช้ S Pen ตวัดไปทางซ้ายหรือขวา เพื่อสลับโหมดกล้องได้ ตวัดขึ้นหรือลงเพื่อสลับกล้องหลังกับกล้องหน้า และสามารถหมุนปากกาตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกา เพื่อซูมภาพเข้าหรือออกได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโอด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาช่วยถ่ายให้ และแทบไม่ต้องสัมผัสสมาร์ทโฟนเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย Galaxy Note 10+
Samsung DeX เปลี่ยน Galaxy Note 10 ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์
การใช้งานในโหมด Samsung DeX ของ Galaxy Note 10 series ทำได้ง่ายกว่าที่เคย และไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมแต่อย่างใด สามารถเชื่อมต่อ Galaxy Note 10 series เข้ากับจอภาพภายนอก หรือคอมพิวเตอร์ ได้ด้วยสายเคเบิล USB-C ที่แถมมาให้ในกล่อง และยังสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้ตามปกติ ในระหว่างใช้งาน Samsung DeX
โหมด Samsung DeX สำหรับ Galaxy Note 10 series สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอกอย่างจอมอนิเตอร์หรือจอทีวีขนาดใหญ่ แล้วใช้ประโยชน์ต่างๆ จากสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแอพ Microsoft PowerPoint สำหรับงานนำเสนอในที่ประชุม, สร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยแอพ Adobe Photoshop Sketch โดยใช้ S Pen วาดเขียนบนสมาร์ทโฟน และตอบสนองความบันเทิงด้วยการดูวีดีโอจากแอพ YouTube หรือวีดีโอที่บันทึกจากกล้อง
ที่สำคัญก็คือ ในระหว่างส่งภาพจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอภาพภายนอก เจ้าของ Galaxy Note 10 series ก็ยังใช้งานสมาร์ทโฟนพร้อมกันได้ โดยแยกการทำงานอิสระ เหมือนมี 2 หน้าจอ
เมื่อเชื่อมต่อ Galaxy Note 10 series เข้ากับคอมพิวเตอร์ (รองรับทั้ง Mac และ Windows ที่ติดตั้งแอพ Samsung DeX สำหรับ PC หรือ Mac) โหมด Samsung DeX ก็จะแสดงผลขึ้นมาอีกหน้าต่าง ช่วยให้เจ้าของอุปกรณ์สามารถถ่ายโอนไฟล์ระหว่างสมาร์ทโฟนกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เพียงแค่ลากแล้ววาง
เจ้าของอุปกรณ์สามารถใช้ประโยชน์จากเมาส์และคีย์บอร์ดบนคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างแอพในชุด Microsoft Office, งานสร้างสรรค์จากแอพต่างๆ ของ Adobe, แอพพื้นฐานจาก Google และอีกมากมายหลายแอพ รวมถึงเล่นเกมจากสมาร์ทโฟนผ่านจอคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่กว่าได้ อย่างเกม PUBG Mobile จะเพิ่มความสนุกขึ้นทันที ด้วยจอที่ใหญ่กว่าและควบคุมเกมด้วยแผงคีย์บอร์ดกับเม้าส์ของคอมพิวเตอร์
Galaxy Note 10 series มาพร้อมฟีเจอร์ Link to Windows สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ Windows PC ซิงค์ข้อมูลรูปภาพ ข้อความ และการแจ้งเตือนล่าสุด จากสมาร์ทโฟนไปยังคอมพิวเตอร์ ผ่านคลาวด์ รวมทั้งการแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์ โดย Windows PC ต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น Your Phone เพื่อใช้งานฟีเจอร์ Link to Windows
สรุป Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดของ Samsung
Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดของ Samsung ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งดีไซน์ที่บางเฉียบ สีสันเด่นสะดุดตา โดยเฉพาะสี Aura Glow ด้านประสิทธิภาพก็มาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด Exynos 9825 ด้านการทำงานมี S Pen ที่ฉลาดกว่าเดิม ควบคุมสมาร์ทโฟนได้อย่างไม้กายสิทธิ์ และทำงานได้อย่างเต็มที่ในโหมด Samsung DeX โดยไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมมาต่อพ่วง
ทั้งคู่ ให้ประสบการณ์การใช้งานเหมือนกัน Galaxy Note 10 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกในการพกพา Galaxy Note 10+ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่จอแสดงผลขนาดใหญ่ และผู้ที่ต้องการใช้เทคโนโลยี AR กับกล้อง DepthVision Camera
Galaxy Note 10 มีให้เลือก 3 สี Aura Glow, Aura Black และ Aura Pink มาพร้อมความจำ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 256GB วางจำหน่ายในราคา 32,900 บาท
Galaxy Note 10+ มีให้เลือก 3 สี Aura Glow, Aura Black และ Aura White มีให้เลือก 2 รุ่น คือ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 256GB วางจำหน่ายในราคา 37,900 บาท หรือ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 512GB ราคา 40,900 บาท
บทความโดย – www.flashfly.net