หลังจากที่ทีมงาน @flashfly ได้นำเสนอบทความแกะกล่องและรีวิว OPPO Reno 10x Zoom สมาร์ทโฟนที่ซูมไกลที่สุดในตลาดถึง 60 เท่า ไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคิว OPPO Reno รุ่นปกติที่ไม่มี 10x Zoom ต่อท้าย
ซึ่งได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามเหมือนกับรุ่นพี่ รวมถึงระบบซ่อนกล้องหน้า Pivot Rising Camera ที่สไลด์ขึ้นมาคล้ายครีบฉลาม พร้อมด้วยเทคโนโลยีต่างๆ แบบเดียวกับที่พบในรุ่น OPPO Reno Reno 10x Zoom มาดูกันกันเลยว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
มาเริ่มที่ตัวกล่องกันอีกเช่นเคยซึ่งตัวกล่องของ OPPO Reno นี้ก็จะเหมือนกับในรุ่น OPPO Reno 10x Zoom ที่มาพร้อมกับกล่องแนวยาวดีไซน์หรูหรา
โดยด้านหน้าตรงกลางจะเป็นดีไซน์กล้องแนวตั้งของ OPPO Reno นูนขึ้นมาจากตัวฝาซึ่งก็จะมีเพียง 2 เลนส์ และด้านล่างจะมีเขียนไว้แค่เพียงว่า OPPO Reno เท่านั้น
ด้านหลังจะระบุรหัสชื่อรุ่น สีตัวเครื่อง ซึ่ง OPPO Reno รุ่นที่ทีมงาน @flashfly นำมารีวิวนั้นเป็นสีดำเงา Jet Black แรม 6GB และความจุ 256GB ซึ่งทั้งสีและความจุนั้นในรุ่น OPPO Reno และ OPPO Reno 10x Zoom ที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้นจะเหมือนกันเพียงแต่ OPPO Reno มี RAM น้อยกว่า
เปิดกล่องออกมาก็จะพบกับซองสีขาวเขียนว่า OPPO Reno ด้านในจะมีเอกสารคู่มือการใช้งานและเอกสารการรรับประกันตัวเครื่อง
ถัดมาก็จะพบกับตัวเครื่อง OPPO Reno วางอยู่พร้อมระบุ 4 ฟีเจอร์หลักของรุ่นนี้ก็คือ กล้องเลนส์คู่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล หน้าจอ 6.4 นิ้วแบบ AMOLED โหมดถ่ายภาพกฃลางคืนขั้นเทพ Ultra Night Mode 2.0 และชาร์จไวด้วย VOOC 3.0
แกะห่อออกมาก็จะพบกับตัวเครื่อง OPPO Reno ที่มีดีไซน์สวยงามหรูหราแบบเดียวกับในรุ่น OPPO Reno 10x Zoom แต่ตัวเครื่องมีขนาดที่กะทัดรัดมากกว่า โดยสีที่ได้มารีวิวในวันนี้คือสีดำเงา Jet Black สวยงามมาก
มาดูกันต่อกับอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ด้านล่าง เราก็จะพบกับเคสใส ซึ่งจะเป็นคนละแบบที่แถมมาในรุ่น OPPO Reno 10x Zoom
ต่อมาจะเห็นได้ว่ามีอุปกรณ์ต่างๆให้มาครบครัน ไม่ว่าจะเป็นชุดหูฟังแบบ 3.5 มม. ที่หลายคนชื่นชอบ
สาย USB Type-C ที่รองรับการชาร์จไว VOOC 3.0
ใต้ที่วางสาย USB Type-C จะมีเข็มจิ้มถาดใส่ซิมอยู่ด้านล่างสุด
และสุดท้ายขาดไม่ได้เลยกับที่ชาร์จ VOOC Flash Charge 3.0 ที่ชาร์จเร็วกว่าเดิมถึง 20%
OPPO Reno ถูกดีไซน์และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกับรุ่น Reno 10x Zoom ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการไล่ระดับสีระหว่างโทนสีเข้มกับโทนสีอ่อน และมีให้เลือก 2 สี เช่นเดียวกัน ได้แก่ สี Ocean Green เฉดสีที่ผสมผสานกับสีเขียวของน้ำทะเลเมื่อจ้องมองพื้นผิวของทะเล และสี Jet Black สีดำที่มีผิวสัมผัสเงาสะท้อน
ด้านหลังของ OPPO Reno ถูกออกแบบเป็นกระจกมุมโค้งรับกับฝ่ามือ และจัดวางองค์ประกอบทั้งหมดไว้ตรงกลางเพื่อให้ดีไซน์เกิดความสมมาตร และมีการติดตั้งจุดเซรามิค O-Dot ไว้ใต้เลนส์กล้อง ซึ่งมีความสวยงามราวกับอัญมณี และยังมีประโยชน์ต่อกล้องคู่หลัง เพราะ O-Dot จะมีความนูนช่วยปกป้องพื้นผิวเลนส์กล้อง เมื่อวางสมาร์ทโฟนบนพื้นเรียบ
ด้านหน้าเต็มไปด้วยพื้นที่ของจอแสดงผล เพราะมีขอบจอที่บางเฉียบ และใช้ดีไซน์ Panoramic Screen เช่นเดียวกับรุ่น Reno 10x Zoom โดยใช้จอ AMOLED ไร้รอยบาก ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ให้อัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ 93.1%
ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 ที่มีความแข็งแรงที่สุดของ Corning ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสเปกเดียวกับรุ่น Reno 10x Zoom เพียงแต่มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า ด้วยความกว้าง 6.4 นิ้ว ขณะที่รุ่นพี่ใหญ่กว่าเล็กน้อย (6.6 นิ้ว)
ส่วนล่างของจอแสดงผล ยังซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้วย สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ประกอบด้วยเลนส์ 3P ช่วยลดความผิดเพี้ยน และเพิ่มแสงเพื่อให้เห็นลายนิ้วมือชัดเจนยิ่งขึ้น จึงอ่านลายนิ้วมือได้แม่นยำกว่ารุ่นก่อน
เบื้องหลังที่ทำให้จอแสดงผลของ OPPO Reno ไร้รอยบาก อยู่ที่การซ่อนกล้องหน้าไว้ที่ด้านบน โดยใช้ระบบกล้อง Pivot Rising Camera ซึ่งประกอบไปด้วย แฟลชหน้าแบบ Soft Light, ลำโพงหูฟัง และ แฟลชหลัง
เมื่อต้องการใช้งานกล้องหน้า เปิดไฟแฟลช หรือปลดล็อคด้วยใบหน้า ระบบกล้อง Pivot Rising Camera จะสไลด์ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และทำมุมที่ดีที่สุด 11 องศา ในเวลาเพียง 0.8 วินาที โดยพัฒนามอเตอร์ให้ทำงานได้แบบเบามากๆ
และยังมีระบบป้องกันความเสียหาย Free-Fall Detection กลไกการเก็บกล้องอัตโนมัติหากพบว่าสมาร์ทโฟนหล่นจากมือ และยังผ่านการทดสอบการสไลด์มากกว่า 200,000 ครั้ง มั่นใจได้ว่าจะสามารถเปิดกล้องขึ้นลงได้ถึงวันละ 100 ครั้ง นานเกิน 5 ปี อย่างแน่นอน
ส่วนขอบด้านข้าง OPPO Reno มีความบาง 9 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่ารุ่นพี่อยู่เล็กน้อย และยังมีน้ำหนักเบากว่าด้วย
ความแตกต่างอีกจุดหนึ่งที่เราพบก็คือ OPPO Reno มีช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรมาให้ด้วยที่ด้านล่าง ซึ่งไม่พบในรุ่น Reno 10x Zoom แต่ Reno รุ่นมาตรฐาน ติดตั้งไมโครโฟนมาให้ 2 ตัว อยู่ที่ด้านล่างกับด้านบนของระบบกล้อง Pivot Rising Camera ขณะที่ Reno 10x Zoom มีไมโครโฟนตัวที่สาม ติดตั้งมาให้ใต้กล้องหลัง
การออกแบบโดยรวมของ OPPO Reno มีความคล้ายกับ OPPO Reno 10x Zoom อย่างมาก รวมถึงงานประกอบ และ สีสัน แต่เมื่อนำมาวางคู่กัน จะพบว่า Reno รุ่นมาตรฐาน มีขนาดเล็กกว่า และอีกจุดที่ทำให้ทั้ง 2 รุ่นแตกต่างกันอย่างชัดเจนก็คือ Reno รุ่นมาตรฐาน มาพร้อมกล้องคู่หลัง ส่วน Reno 10x Zoom ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่มีความสวยงาม ความพรีเมี่ยมไม่แพ้กัน
กล้องหน้าของ OPPO Reno ใช้สเปกเดียวกับ Reno 10x Zoom โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0 ซ่อนอยู่ในระบบกล้อง Pivot Rising Camera มาพร้อมแฟลชแบบ Soft Light ช่วยเพิ่มความสว่างเมื่อถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อย และรองรับการถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้ามาพร้อมเทคโนโลยี AI Beauty ช่วยให้ภาพถ่ายเซลฟี่ออกมาสวยงามอย่างธรรมชาติ โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ใบหน้าบุคคล แล้วปรับค่าสีรวมถึงเอฟเฟกต์แสงให้เหมาะสมที่สุด และยังมี HDR ช่วยเพิ่มความคมชัดให้ภาพเซลฟี่ในทุกสภาพแสง
OPPO Reno มาพร้อมกล้องคู่หลัง ตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7 วางคู่กับกล้อง 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 ช่วยจับระยะชัดลึก ทำให้การถ่ายในโหมด Portrait นั้นสวยงามเป็นธรรมชาติมาก โดยจะมีฟิลเตอร์สีให้เลือก 5 แบบตามใจชอบอีกด้วย
สำหรับโหมดการถ่ายภาพอื่นๆใน OPPO Reno ก็มีมาให้ใช้งานครบครัน Panorama, Pro, Night, Time Lapse, และ Slo-Mo
ส่วนการบันทึกวีดีโอรองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
โหมด Dazzle Color ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้วจะช่วยเพิ่มความสดใสให้กับภาพถ่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะฉากหลังที่เป็นสีสวยๆ ดอกไม้ รวมไปถึงอาหารให้ดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
ทีเด็ดของกล้อง OPPO Reno ในโหมดถ่ายภาพกลางคืนยังคงสืบทอดมาจากรุ่น OPPO R17 Pro กับ Ultra Night Mode ซึ่งตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น 2.0 แล้ว เพียงแค่กดถ่ายภาพแล้วรอการประมวลไม่กี่วินาทีก็ได้ภาพถ่ายตอนกลางคืนที่เก็บทุกแสงสีรายละเอียดยามค่ำคืนได้อย่างสวยงามราวกับใช้กล้องมือโปรเลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดกลางคืน Ultra Night Mode 2.0
OPPO Reno ทำงานบนพื้นฐาน Android 9 Pie สวมทับด้วย ColorOS 6 จึงให้ประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกับ OPPO Reno 10x Zoom
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาการใช้งานที่ดูดีเรียบหรู ใช้งานง่าย และทำงานรวดเร็วกว่าเดิม
มาพร้อมชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ไม่ใช่ชิปเรือธงเหมือนรุ่นพี่ แต่ก็ถือว่าเป็นชิประดับกลางที่ดีที่สุด และสามารถตอบสนองการเล่นเกมได้ไม่แพ้ชิปเซ็ตระดับเรือธง โดยให้ความจำ RAM 6GB จับคู่กับ ROM 256GB ลงแอพและเกมได้อย่างจุใจ ไม่ต้องกลัวว่าเมมจะเต็ม หรือต้องไปหาซื้อ MicroSD มาเพิ่มให้วุ่นวาย
สำหรับเกมดังๆอย่าง PUBG ก็สามารถปรับภาพกราฟิกได้ระดับสูงสุด เกม ROV ก็ได้เล่นลื่นไหลระดับ 60fps แน่นอนว่าเกมที่ใช้กราฟิกโหดๆก็เล่นได้อย่างสบายๆไม่แพ้รุ่นเรือธงแต่อย่างใดเลย คอเกมไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
OPPO Reno ยังคงมาพร้อมเทคโนโลยีเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos แบบที่ใช้ในโรงภาพยนตร์เมื่อทำการเชื่อมต่อหูฟังผ่านช่อง 3.5 มม. หรือบลูทูธก็จะสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ทันที หรือถ้าจะเล่นเกมแบบไม่ใช้หูฟัง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะได้เสียงไม่ชัดหรือนิ้วอาจจะมาบังช่องลำโพง เพราะ OPPO Reno ได้ถูกออกแบบมาให้ลำโพงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอะไรมาบังแม้ว่าขณะถืออยู่ในมือ
ยังไม่พอ OPPO Reno มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3765mAh รองรับเทคโนโลยี VOOC Flash Charge 3.0 (20 วัตต์) ชาร์จเต็ม 100% ได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมถึง 20% และด้วยอัลกอริทึมควบคุมความร้อนของตัวเครื่อง จึงสามารถใช้งานเล่นเกมหรือดูซีรีย์เรื่องโปรดในระหว่างชาร์จ OPPO Reno ได้อย่างปลอดภัย
สรุปแล้ว OPPO Reno มีการออกแบบที่คล้ายกับ Reno 10x Zoom นั่นหมายถึง มีความเป็นพรีเมี่ยมสมาร์ทโฟนเช่นเดียวกัน และยังได้รับเทคโนโลยีแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้องหน้า Pivot Rising Camera หน้าจอไร้รอยบาก Panoramic Screen สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ความจุ 256GB เทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 และที่สำคัญ OPPO Reno เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า เพราะวางจำหน่ายในราคา 16,990 บาทเท่านั้นถูกกว่า OPPO Reno 10x Zoom ถึง 12,000 บาท ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมของ OPPO ที่มีราคาย่อมเยาว์ที่สุดในเวลานี้
รีวิว OPPO Reno 10x ZOOM
บทความโดย – www.flashfly.net