วันที่ 3 มิถุนายน 2019 เป็นวันแรกของงานชุมนุมนักพัฒนาประจำปีของ Apple ที่มีชื่อว่า WWDC ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยในปีก็มีชื่อว่า WWDC19 โดยในปีนี้ก็เป็นการจัดงานปีที่ 30 อีกด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าก่อนงานจะเริ่มก็มีข่าวลือออกมาต่างๆมากมายทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง โดยวันนี้ทีมงาน @flashfly ก็ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนจากสื่อในประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมงานจะมาสรุปรายละเอียดทั้งหมดที่เปิดตัวในงาน WWDC19 ตามมาดูกันได้
tvOS 13
Apple เริ่มงานด้วยการเปิดตัว tvOS13 เป็นอย่างแรกมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ใช้งานง่ายสามารถแสดงตัวอย่างภาพยนต์ได้แบบเต็มหน้าจอแล้ว แถมในเวอร์ชั่นนี้ยังรองรับการใช้งานหลายบัญชีแล้ว สามารถสลับใช้งานกันภายในบ้านได้ซึ่งตัวเนื้อหาก็จะปรับตามความเหมาะสมของแต่ละคน สำหรับ Apple Music นอกจากจะรองรับการใช้งานหลายบัญชีด้วยแล้ว ยังสามารถดูเนื้อเพลงโปรดบนหน้าจอ TV ไปพร้อมๆกับการฟังเพลงได้
แต่ที่เรียกเสียงเฮได้ดังสั่นคงไม่พ้นที่ tvOS13 รองรับการเชื่อมต่อกับจอยเกมจากเครื่องคอนโซลยอดนิยมทั้ง Xbox One S และ PlayStation 4 ซึ่งนอกจากจะเล่นเกมบน AppStore ได้แล้วยังรองรับการเล่นเกม Apple Arcade อีกด้วย เรียกได้ว่าตอนนี้ใครที่อยากเล่นเกมบน Apple TV 4K ก็ไม่ต้องไปหาซื้อจอยอะไรเพิ่มแล้ว เพราะเชื่อว่าทุกบ้านต้องมีเครื่องคอนโซลอยู่อย่างแน่นอน
สุดกับการเพิ่มตัวสกรีนเซพเวอร์ใหม่เป็นใต้ท้องทะเลอันสวยงาม ซึ่ง Apple ได้ร่วมกับทาง BBC Natural History ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสารคดี Blue Planet นั่นเอง
watchOS6
มาต่อกันที่ watchOS 6 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่นอกจากจะมาพร้อมกับหน้าปัดแบบไดนามิคใหม่แล้วยังมาพร้อมแอพพลิเคชั่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นเป็นการอัดเสียง และเครื่องคิดเลข รวมถึงยังรองรับการฟังเสียง Audio Book ผ่านทาง Apple Watch ก็ทำได้แล้ว ทางด้านการดูแลสุขภาพยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง แอพติดตามประจำเดือนที่ช่วยในการบันทึกข้อมูลรายวัน นอกจากนี้ยังมีแอพวัดระดับเสียงเดซิเบล ถ้าอยู่ในที่เสียงดังมากๆเกิน 90 เดซิเบลตัวแอพจะแจ้งเตือนทันที
นอกจากจะมีแอพใหม่ๆด้านสุขภาพแล้ว วันนี้ Apple ได้เปิดตัว App Store เฉพาะของ Apple Watch สามารถค้นหาและติดตั้งได้บนข้อมือทันที โดยไม่มีแอพบน iOS หรือต้องไปติดตั้งแอพผ่าน iPhone ก่อนอีกต่อไป สุดท้าย Apple ยังได้เปิดตัวสาย Apple Watch สีใหม่ร่วมถึงสาย Sport Loop รุ่น Pride Edition ใหม่ที่พร้อมให้สั่งซื้อแล้ววันนี้
iOS13
และแล้วก็มาถึง iOS เวอร์ชั่นที่หลายคนรอคอยกับ iOS13 ซึ่งแน่นอนว่าเปิดตัวมาพร้อมกับ Dark mode ที่ดูแล้วน่าใช้งานอย่างมาก ซึ่งแอพพลิเคชั่นต่างๆที่เราคุ้นเคยกันดีก็จะถูกปรับสีใหม่หมดให้ใช้งานได้สบายตาในที่แสงน้อย โดยธีมสีจะถูกเปลี่ยนอัตโนมัติจาก Light เป็น Dark ตามช่วงเวลาอีกด้วย แถมยังได้เปิดตัวคีย์บอร์ดใหม่ QuickPath ที่ใช้การลากนิ้วไปมาเพื่อพิมพ์ได้อย่างรวดเร็วแถมยังใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้
นอกจากนี้การใช้งานต่างๆบน iPhone ที่ติดตั้ง iOS13 ก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Face ID ที่รวดเร็วขึ้นถึง 30% ขนาดไฟล์แอพเล็กลง 50% ขนาดไฟล์อัพเดทเล็กลง 60% ทำให้เปิดแอพเร็วขึ้นถึง 2 เท่า
ฟีเจอร์ใหม่ๆก็มาเต็มแอพ Photo ก็มีความสามารถใหม่ในการจัดเรียงภาพถ่ายให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นมีการไฮไลท์รูปภาพที่ดีที่สุดภาพไหนซ้ำจะถูกซ่อน วิดีโอจะถูกเล่นอัตโนมัติ ทำให้เวลาเปิดดูภาพถ่ายไม่น่าเบื่ออีกต่อไป แถมยังมีการจัดเรียงเหตุการณ์สำคัญแบบรายวัน เดือน ปีให้ค้นหาได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย และที่น่าสนใจเป็นพิเศษเราสามารถที่จะหมุนคลิปวิดีโอที่ถ่ายกลับหัวบน iPhone ได้โดยที่ไม่ต้องทำผ่านแอพอื่นๆอีกต่อไปแล้วใน iOS13 ยังได้เพิ่มฟีเจอร์การปรับแต่งแสงภาพถ่ายในโหมด Portrait ให้ได้ให้ไฟอยู่ใกล้ไกลได้ตามใจก็จะภาพถ่ายที่สวยงามกว่าเดิม ถูกใจช่างภาพอย่างแน่นอน
แอพ Maps บน iOS13 เองก็มีการอัพเดทครั้งใหญ่เพิ่มรายละเอียดใหม่หมดต่างจากแบบเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ Look Around การท่องไปในเมืองแบบสามมิติอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวหรือร้านค้า แอพ File ก็สามารถแชร์โฟลเดอร์กับ iCloud Drive และรองรับการเชื่อมต่อ SD card หรือ Flash Drive USB ได้แล้ว
Sign In with Apple ฟีเจอร์ใหม่ในการลงชื่อเข้าใช้งานแอพหรือเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่าแทนที่จะใช้บัญชีของโซเชียลมีเดียรายอื่นอย่าง Facebook หรือ Google สามารถล็อกอินได้ง่ายๆด้วย Face ID หรือ Touch ID ก็ได้
ทางด้าน Memoji ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เอาใจสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นทรงผมใหม่ แต่งหน้า ทาปากเปลี่ยนสีได้ตามใจ นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยน Memoji ให้ไปเป็นสติกเกอร์บนคีย์บอร์ด iOS อัตโนมัติอีกด้วย และสุดท้ายเราสามารถแชร์เพลงหรือเสียงในหนังบน iPhone ไปยังหูฟัง AirPods อีกชุดได้ง่ายๆแค่เอามาวางไว้ใกล้ๆ iPhone เท่านั้น แถมยังให้ Siri อ่านข้อความที่ส่งเข้ามาให้ฟังได้อีกด้วย
iPadOS
และแล้ว iPad ก็มีระบบปฎิบัติการแยกออกมาเป็นของตัวเอง มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆเพียบรวมถึง Dark Mode และคีย์บอร์ดแบบลอยตัว QuickPath ที่มีใน iOS13 จะก็ใช้งานบน iPadOS ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ทางด้านหน้าจอโฮมก็ออกแบบใหม่ โดยจะเพิ่ม Today View เข้ามาที่ด้านซ้ายของหน้าจอ เพื่อช่วยให้ใช้งานวิตเจ็ตได้อย่างได้รวดเร็วหรือมองดูสภาพอากาศ ปฎิทินได้ทันที การใช้งานแบ่งหน้าจอก็สามารถเปิดแอพเดียวกันได้พร้อมกัน 2 หน้าต่างแล้ว สามารถสลับไปมาได้ทันทีในแทบ Slide Over
การเลือกข้อความก็ใช้งานได้ดียิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแตะหน้าจอไปยังบรรทัดที่ต้องการพิมพ์ได้อิสระการใช้งาน Copy ,Paste และ Undo ก็ใช้ 3 สามนิ้วจีบบนหน้าจอ เพื่อ Copy และกางออก 3 นิ้วเมื่อต้องการวาง และใช้ 3 นิ้วปัดข้างๆเมื่อต้องการใช้คำสั่ง Undo ไม่ต้องเขย่าตัวเครื่องอีกต่อไป
แอพไฟล์บน iPadOS ก็สุดยอดขึ้นไปอีกขั้นสามารถแชร์โฟลเดอร์ผ่าน iCloud Drive ได้ รองรับการเชื่อมต่อกับฮาร์ดดิสก์ ,แฟลชไดร์ฟ USB, การ์ด SD รวมถึงเชื่อมต่อใช้งานเซิร์ฟเวอร์ไฟล์ SMB ได้แล้ว มีเพิ่มุมมองแบบคอลัมม์ให้แสดงผลได้คล้ายกับบนเครื่อง Mac อีกด้วย
Safari ตัวเต็มเวอร์ชั่นเดสก็ท็อปมาอยู่ใน iPadOS เรียบร้อยแล้ว รองรับการแสดงแบบเดียวกับบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปทุกประการ โดยมีการปรับขนาดให้เหมาะสมกับหน้าจอของ iPad ทั้งขนาดและการใช้งานระบบสัมผัส มีปุ่มลัดช็อตคัทใหม่อีก 30 คำสั่ง
การใช้งาน Apple Pencil ก็สะดวกกว่าเดิม ขณะที่เขียนลงบนหน้าจอ แล้วด้วยการปัด Apple Pencil จากมุมหน้าจอก็จะมีถาดใส่เครื่องมือต่างๆออกมาได้ง่ายๆ มียางลบใหม่ที่ลบเฉพาะบางส่วนที่เขียนได้และมีไม้บรรทัดมาให้ใช้งานแล้ว แถม iPadOS ทำให้ค่าความหน่วงของ Apple Pencil จากเดิมอยู่ที่ 20 มิลลิวินาทีที่ดีมากๆอยู่แล้วเหลือเพียง 9 มิลลิวินาทีเท่านั้น ดีมากขึ้นไปอีก
Mac Pro และหน้าจอ Pro Display XDR
มาถึงพระเอกสำคัญของงานนี้กับ Mac Pro รุ่นใหม่ปี 2019 ดีไซน์ใหม่หมด ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมาในเวลานี้ โดยในรุ่นนี้ถูกออกแบบโมดูลาร์ให้สามารถปรับเปลี่ยนสเปกภายในต่างๆได้เอง มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Xeon ระดับเวิร์กสเตชั่นสูงสุด 28 คอร์, เพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 1.5TB สูงสุดที่เคยมีมาใน Mac มีช่องต่อขยายแบบ PCI Express จำนวน 8 ช่อง มากกว่า Mac Pro แบบทาวเวอร์รุ่นก่อนถึง 2 เท่า
ทางด้านการ์ดจอ Mac Pro ได้เปิดตัว Radeon Pro Vega II Duo ซึ่งใช้ GPU รุ่น Vega II สองตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟิกให้แรงเหลือเชื่อถึง 28 เทราฟลอป พร้อมหน่วยความจำ 64GB นี่คือการ์ดจอที่ทรงพลังที่สุดในโลก และยิ่งไปกว่านั้น Mac Pro สามารถใส่การ์ดจอ Vega II Duo ได้พร้อมกัน 2 ตัวเพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟิกให้ได้ถึง 56 เทราฟลอป พร้อมหน่วยความจำขนาด 128GB
เท่านี้ยังแรงไม่พอ Apple ยังได้เปิดตัว Apple Afterburner การ์ดเร่งความเร็ว GPU อันเหนือชั้นที่จะช่วยให้สามารถเล่นวิดีโอ ProRes RAW ความละเอียด 8K ได้พร้อมกันถึง 3 สตรีม หรือ ความละเอียด 4K สูงสุด 12 สตรีมในแบบเรียลไทม์ ตัวโครงที่ทำมาจากสแตนเลสสตีล พร้อมฝาครอบอะลูมิเนียมพร้อมที่จับสามารถอดเคสออกได้ง่าย ฝาครอบเป็นลายตาราง เพื่อช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ดีและทำงานเงียบ รวมถึงยังมีให้ใส่ล้อลากไปได้ง่ายๆอีกด้วย
Pro Display XDR จอมอนิเตอร์หน้าจอภาพ Retina ความละเอียด 6K ขนาด 32 นิ้วใช้ระบบแบ็คไลท์ชนิดตรงกับอาร์เรย์ LED ขนาดใหญ่ รองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 และสีสันระดับ 10 บิต ให้ความสว่างเต็มหน้าจอ 1,000 นิต และมีความสว่างสูงสุดถึง 1,600 นิต มีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 1,000,000:1 ด้วยสเปกขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความคมชัดและการแสดงรายละเอียดต่างๆว่าจะขนาดไหน ซึ่ง Mac Pro สามารถต่อจอ Pro Display XDR ได้สูงสุดถึง 6 จอ นอกจากนี้ Apple ยังได้เปิดตัว Pro Stand ขาตั้งที่ปรับได้ทั้งความเอียงและความสูง และยังทำให้หมุน Pro Display XDR เป็นแนวตั้งได้
ทางด้านราคานั้น Apple เปิดราคาของ Mac Pro ออกมาที่ $5999 หรือราว 188,000 บาท ส่วนตัวจอ Pro Display XDR ที่ $4999 หรือราว 156,000 บาท ส่วนขาตั้ง Pro Stand ราคา $999 ราว 31,300 บาท และอะแดปเตอร์สำหรับตัวยึด VESA ราคา $199 ราว 6,200 บาท โดยทั้งหมดจะเปิดให้สั่งซื้อภายในปีนี้
macOS Catalina
เปิดตัว Mac Pro กับ Pro Display XDR ไปแล้วยังไม่หมด Apple ยังได้เปิดตัว macOS Catalina เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดด้วย ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ Apple ได้ถอด iTunes แอพยอดนิยมที่อยู่คู่กับเครื่อง Mac มายาวนานกว่า 18 ปีออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำเอาแอพยอดนิยมแอพ Apple Music, Apple Podcasts และ Apple TV มาแทนที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาพร้อมฟีเจอร์เด็ด Sidecar ด้วยการใช้ iPad เป็นหน้าจอที่สอง และยังรองรับการใช้ Apple Pencil อีกด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับการใช้งานกับโปรแกรมกราฟิกชื่อดังครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อวิดีโอด้วย Final Cut Pro X การวาดรูปด้วย Adobe Illustrator
Screen Time หรือการบอกเวลาการใช้งานหน้าจอก็มีมาให้ใช้งานใน macOS Catalina แล้ว และในเร็วๆนี้เราก็สามารถใช้งานแอพโปรดเกมฮิตจาก iOS บนเครื่อง Mac ได้แล้วอาทิ Twitter หรือเกมยอดฮิต Asphalt 9 และเกมอื่นๆก็จะทยอยมีมาให้ใช้งานเครื่อง Mac มากขึ้น ซึ่งในงาน WWDC19 ทาง Apple จะมีเครื่องมือที่ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพแล้วรองรับทุกระบบปฎิบัติการซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก
Developer
สุดท้ายกับการเปิดตัว SwiftUI ที่มาพร้อม Xcode 11 เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่ใช้งานง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถสร้างแอพได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดแม้แต่ตัวเดียว โดยโค้ดโดยโค้ด Swift จะถูกสร้างขึ้นมาให้อัตโนมัติ ARKit 3 รองรับการใช้งาน AR Motion Capture ช่วยให้นักพัฒนาสามารถจับความเคลื่อนไหวของผู้คนเข้าไปใช้งานในแอพได้ และอีกฟีเจอร์เด็ดในงานก็คือ People Occlusion ตัววัตถุ AR จะสมจริงยิ่งขึ้นแบบสุดๆไม่มาบังตัวเราอีกต่อไป แยกแยะระยะด้านหน้าหรือด้านหลังของบุคคลได้เหมือนเป็นวัตถุจริงๆ ซึ่งภายในงานได้โชว์การเล่นเกม Minecraft โดยที่ตัวผู้เล่นเข้าไปอยู่ในเกมเลยน่าทึ่งและเปิดจินตนาการของเหล่านักพัฒนาอย่างมาก
และนี่คือทั้งหมดที่ Apple เปิดตัวในงาน WWDC19 ใครที่สมัครเป็นนักพัฒนาของ Apple สามารถถดาวน์โหลด iOS13,iPadOS,watchOS6 ,tvOS13 และ macOS Catalina เวอร์ชั่น Beta ไปทดลองใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนใครที่เข้าร่วมโปรแกรม Public Beta จะสามารถดาวน์โหลดในเดือนกรกฎาคม สำหรับเวอร์ชั่นไฟนอลหรือซอฟท์แวร์ตัวเต็มคาดว่าจะเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
บทความโดย – www.flashfly.net