Huawei P30 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม ที่ได้รับคำชมอย่างมากในช่วงเปิดตัว ทั้งดีไซน์ และจุดแข็งที่ระบบกล้องจาก Leica และได้ชื่อว่า อาจเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่ดีที่สุดในปี 2019 โดยวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรด้วยราคา 900 ปอนด์ หรือราว 36,360 บาท
ถึงแม้ราคาเครื่องใหม่ของ Huawei P30 Pro จะมีมูลค่าสูงสมกับเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม แต่ราคาเครื่องมือสองกลับลดลงอย่างน่าใจหาย
เว็บไซต์แลกเปลี่ยนซื้อขายสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมในสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า Huawei P30 Pro มือสอง ที่ยังอยู่ในสภาพดี มีมูลค่าเพียง 100 ปอนด์ หรือราว 4,000 บาท หมายถึงมูลค่าหายไปเกือบ 90% ขณะที่เรือธงคู่แข่ง Samsung Galaxy S10+ มือสองสภาพดี ยังสามารถขายได้ในราคา 510 ปอนด์ หรือราว 20,600 บาท ซึ่งมูลค่าลดลงไป 45% จากราคาเครื่องใหม่
เรือธงจากปีที่แล้วยิ่งเลวร้าย!! หนังสือพิมพ์ Express ของสหราชอาณาจักรรายงานว่า ผู้บริโภคสามารถซื้อ Huawei P20 Pro ได้ในราคาประมาณ 280 ปอนด์ หรือราว 11,310 บาท แต่ราคาขายต่อเหลือไม่ถึง 50 ปอนด์ หรือราว 2,020 บาท ขณะที่เรือธงของ Samsung ในปี 2018 ยังมีมูลค่า 235 ปอนด์ หรือราว 9,500 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ของ Huawei
ไม่ใช่เพียงแต่ในยุโรป Huawei ยังประสบปัญหาเดียวกันในเอเชีย สื่อฯ ในสิงคโปร์ Straits Times รายงานว่า ร้านค้าปลีกส่วนใหญ่รับซื้อสมาร์ทโฟนใช้แล้วจาก Huawei ในราคาต่ำมาก บางร้านก็ไม่รับซื้อ ส่งผลให้เจ้าของสมาร์ทโฟน Huawei ที่ต้องการขายต่อ ไม่สามารถปล่อยมือถือออกไปได้ เพราะราคาตกอย่างรวดเร็ว
ที่น่าตกใจคือ มีร้านค้าปลีก 4 – 5 แห่ง ยินดีรับซื้อ Huawei P30 Pro มือสอง ในราคา 100 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 3,180 บาท จากราคาเครื่องใหม่ 1,398 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 44,430 บาท
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สมาร์ทโฟนใช้แล้วจาก Huawei มีมูลค่าลดลงอย่างมาก เป็นผลมาจากถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตร ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ โดยผู้บริโภคมีความกังวลว่าอุปกรณ์ของ Huawei ที่มีอยู่ในตลาดจะไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านซอฟต์แวร์
อย่างไรก็ตาม Huawei ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่มีอยู่ในตลาด จะไม่ได้รับผลกระทบ โดยให้ความมั่นใจว่าจะยังคงให้บริการอัพเดทซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัย และบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของ Huawei ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดต่อไป ครอบคลุมถึงโมเดลที่ได้จำหน่ายออกไปแล้ว และที่ยังรอการจัดจำหน่ายอยู่ในสต็อกทั่วโลก
ที่มา – Forbes
https://www.flashfly.net/wp/252642