ถือเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนน้องใหม่ที่สร้างชื่อได้อย่างรวดเร็วสำหรับ realme ซึ่งมีอายุครบรอบ 1 ปี ไปเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันก่อตั้งแบรนด์ในปี 2018 และเรากำลังอยู่กับ realme 3 Pro สมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของ realme ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงประสิทธิภาพที่อยู่ภายใน ที่สำคัญก็คือราคา รับรองได้ว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน
โดยก่อนหน้าทางทีมงานได้ทำการพรีวิวแกะกล่อง realme 3 Pro และสัมผัสตัวเครื่องจริงจากในงานเปิดตัวที่ประเทศอินเดียกันไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาถึงรีวิวฉบับเต็มของรุ่นนี้กันบ้างหลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปสดๆร้อนๆเริ่มต้นแค่ 6,999 บาท พร้อมโปรลดราคา 50% จากค่ายมือถือ มาติดตามกันดูเลยว่าสมาร์ทโฟนในกลุ่มราคาไม่ถึงหมื่นบาทจะคุ้มค่าเกินราคาจริงแท้แค่ไหน ทั้งการทดสอบเล่นเกม การถ่ายภาพ โหมด NightScape รวมไปถึงการใช้งานชาร์จไว VOOC 3.0
realme 3 Pro เป็นรุ่นที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากในรุ่น realme 3 ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้า ซึ่งในรุ่นมาพร้อมสโลแกน “Speed Awakens ปลุกความเร็ว เหนือระดับ” โดยนำ “ความเร็ว” มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ มองเห็นได้อย่างชัดเจนที่ด้านหลังของสมาร์ทโฟน ซึ่งมีเอฟเฟกต์สะท้อนแสงเป็นรูปตัว S มีที่มาจากโค้ง Chicane ในสนามแข่งรถ Le-Mans และเมื่อมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าเอฟเฟกต์ดังกล่าว มีที่มาจากเทคนิคการแกะสลักพื้นผิวด้วยรายละเอียดระดับไมครอน เกิดเป็นลายเส้นบางๆ ทั่วทั้งด้านหลัง
realme 3 Pro ยังนำเทคนิคการไล่ระดับสีมาใช้ด้วยกับสีม่วง Lightning Purple และ สีน้ำเงิน Nitro Blue โดยเป็นการไล่ระดับสีแนวทแยงมุม เพื่อให้เข้ากับเอฟเฟกต์แสงรูปตัว S และยังมีสีเทา Carbon Grey เป็นอีกตัวเลือก สำหรับคนที่ชอบความคลาสสิคของโทนสีเข้ม
realme 3 Pro มาพร้อมจอแสดงผล Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) ขนาด 6.3 นิ้ว ให้อัตราส่วนภาพ 19.5:9 ดีไซน์กว้างสุดขอบด้วยอัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้สูงถึง 90.80% ซ่อนกล้องเซลฟี่ไว้ในรอยบากแบบหยดน้ำ ครอบทับด้วยกระจก Corning Glass 5 และสามารถปรับอุณหภูมิสีได้ เพื่อถนอมดวงตา
ภายในรอยบากเหนือขอบจอแสดงผล มาพร้อมกล้องเซลฟี่ 25 ล้านพิกเซล และมองขึ้นไปอีกนิดจะเห็นตำแหน่งของลำโพงหูฟัง ติดตั้งอยู่จนชิดขอบบน
ด้านบนจะเห็นตำแหน่งของไมโครโฟนตัวที่สอง
ส่วนด้านล่างประกอบไปด้วย ช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟน, พอร์ต Micro USB และ ลำโพงตัวหลัก
กลับมาดูที่ด้านหลังอีกครั้ง หลังจากที่ทีมงานได้เขียนถึงแรงบันดาลใจที่มาของงานออกแบบดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่องกันไปแล้ว คราวนี้มาดูการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ กันบ้าง realme 3 Pro ติดตั้งกล้องคู่หลัง 16 + 5 ล้านพิกเซล ไว้ที่มุมบนซ้ายมือ
ถัดลงมาตรงกึ่งกลางเป็นพื้นที่ของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และส่วนล่างวางโลโก้ realme ในแนวตั้ง โดยมีเอฟเฟกต์แสงรูปตัว S พาดผ่าน ทำให้การออกแบบในภาพรวมดูลงตัวมากยิ่งขึ้น
ขอบด้านข้างมีความบาง 8.3 มิลลิเมตร โดยมีปุ่มเพาเวอร์อยู่ทางด้านซ้ายของจอแสดงผล
ข้างขวาของจอแสดงผล มีถาดใส่การ์ดแบบ 3 ช่อง สามารถใส่ซิมการ์ดแบบนาโนได้พร้อมกัน 2 ช่อง และอีกช่องสำหรับการ์ด MicroSD (รองรับความจุสูงสุด 256GB) ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง
realme 3 Pro ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie สวมทับด้วย ColorOS 6.0 ใช้ชิปประมวลผลระดับ 10 นาโนเมตร Qualcomm Snapdragon 710 AIE (Artificial Intelligence Engine) 2.2GHz Octa Core พร้อมจีพียู Adreno 616 ทำให้ realme 3 Pro ได้รับชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพดีกว่าสมาร์ทโฟนหลายรุ่นที่มีราคาใกล้เคียงกัน
ชิปประมวลผล Snapdragon 710 ได้รับการพัฒนาให้ CPU กับ GPU ทำงานได้ดีขึ้น 20% และ 25% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับชิป Snapdragon 660 ช่วยให้ realme 3 Pro เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile หรือ ROV สามารถปรับคุณภาพกราฟิกในเกมให้อยู่ในระดับสูงได้อย่างสบายๆ จากการทดสอบพบว่าเฟรมเรทในเกม ROV ทำได้ถึง 62 FPS เลยทีเดียว
ด้านความจำมีอยู่ 2 ทางเลือก สำหรับทำตลาดในประเทศไทย คือ RAM 4GB จับคู่กับ ROM 64GB และ RAM 6GB จับคู่กับ ROM 128GB ทั้ง 2 ตัวเลือก ยังรองรับการ์ด microSD สูงสุด 256GB
แบตเตอรี่ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สมาร์ทโฟนเล่นเกมหรือใช้งานได้ยาวนาน และ realme 3 Pro ก็มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4045mAh สามารถเปิดเพลงฟังได้ยาวนานถึง 126 ชั่วโมง สนทนานานสูงสุด 32 ชั่วโมง ดูวีดีโอระดับ Full HD 1080p นานกว่า 9 ชั่วโมง และเล่นเกมอย่าง PUBG Mobile ได้เต็มที่ 7 ชั่วโมง
ถึงแม้จะให้แบตเตอรี่ก้อนใหญ่ แต่การชาร์จก็ทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 ชาร์จแบตเตอรี่เร็วกว่าเวอร์ชั่นก่อน 20% สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 50% ในเวลาเพียง 30 นาที โดยแถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 20 วัตต์ (5V 4A) VOOC 3.0 มาให้ในกล่องด้วย
realme 3 Pro มาพร้อมกล้องคู่หลัง กล้องหลัก 16 ล้านพิกเซล (Sony IMX519) รูรับแสง F1.7 กล้องรอง 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 สามารถถ่ายภาพในความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล ด้วยโหมด Ultra HD เกิดจากการนำภาพถ่าย 8 ช็อต มารวมเป็นภาพเดียว
ขณะที่กล้องรองช่วยให้ถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait Mode ออกมาโดดเด่น และยังมีโหมด HDR กับ Expert Mode สำหรับปรับค่ากล้องได้ละเอียดขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องด้านหลัง
กล้องหลังของ realme 3 Pro ยังมีโหมด Super Nightscape สามารถสร้างภาพถ่ายในช่วงเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อยได้น่าประทับใจ ด้วยการเพิ่มความสว่างพร้อมกับลดจุดรบกวนหรือ Noise บนภาพถ่าย และเพิ่มไฮไลท์ให้กับฉากหรือวัตถุ จนมองเห็นรายละเอียดในเงา โดยรวมแล้วภาพถ่ายในเวลากลางคืนออกมาได้อย่างคมชัดและไม่มีส่วนเบลอให้เห็น ที่สำคัญสามารถถ่ายภาพให้สว่างได้อย่างเหลือเชื่อ แม้อยู่ในที่มืดสนิท
ในตอนกลางวันยังมีโหมด Chroma Boost มาให้ใช้งาน ช่วยทำให้บุคคลในภาพหรือฉากหลังมีสีสันสดใสมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับปรุงช่วงไดนามิค และเพิ่มแสงให้ภาพถ่ายเกิดความสมดุล
ตัวอย่างภาพถ่ายตอนกลางคืนโหมด Super Nightscape
สำหรับการถ่ายวีดีโอ realme 3 Pro ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก สามารถถ่ายวีดีโอด้วยโหมด Super Slo-mo ได้สูงถึง 960 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียด HD 720p หรือ 120 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียด Full HD 1080p ส่วนการบันทึกวีดีโอทั่วไป สนับสนุนความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0 มาพร้อมโหมด AI Beautification (นำ AI มาช่วยวิเคราะห์ใบหน้า ทำให้ภาพถ่ายในโหมดบิวตี้สวยงามอย่างธรรมชาติ) และยังมีโหมด HDR ช่วยถ่ายภาพเซลฟี่ในทุกสภาพแสง
นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ AI Facial Unlock สำหรับปลดล็อคสมาร์ทโฟนด้วยการสแกนใบหน้า แทนการใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งไว้ตรงด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
สรุปแล้ว realme 3 Pro ถูกสร้างขึ้นมาตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาจับต้องได้ แต่สามารถเล่นเกมได้ลื่นๆ ด้วยชิปประมวลผลที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน โดยมีจุดเด่นที่กล้องคู่หลัง สามารถถ่ายภาพได้ดีทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุใจ แถมยังชาร์จเร็ว ประสิทธิภาพโดยรวมก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้อยางสบาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชี่ยล ดูทีวีออนไลน์ ท่องเว็บ และยังได้รับการออกแบบมาอย่างพรีเมี่ยม
สเปคจัดเต็ม กับดีไซน์ล้ำสมัยขนาดนี้ realme 3 Pro พร้อมวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ วันที่ 18 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไปในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 6,999 บาทสำหรับรุ่นแรม 4GB ความจุ 64GB และราคา 8,999 บาท สำหรับรุ่นแรม 6GB ความจุ 128GB ซึ่งเป็นตัวเลขที่คุ้มค่ามากทีเดียว