หลังจากที่ Samsung ได้ฉลอง 10 ปีสมาร์ทโฟน Galaxy S ที่เป็นรุ่นแฟลกชิปด้วยการเปิดตัว Galaxy S10e,Galaxy S10 และ Galaxy S10+ และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี และล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้นำสมาร์ทโฟน Galaxy A Series รุ่นใหม่บุกตลาดในประเทศไทยตามมาติดๆโดยเปิดตัวพร้อมกัน 4 รุ่น ได้แก่ Galaxy A10, Galaxy A20, Galaxy A30 และ Galaxy A50 แต่ดูเหมือน Galaxy A30 กับ Galaxy A50 จะได้รับความสนใจมากกว่ารุ่นน้อง เพราะถือว่ามากับสเปกที่คุ้มค่า ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เมื่อเทียบกับ Galaxy A Series ที่เคยทำตลาดในปีที่แล้วหรือก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้น เราจึงหยิบ Galaxy A30 และ Galaxy A50 มารีวิวการใช้งานไปพร้อมกัน ถ้าใครยังไม่ได้ชมพรีวิวดูได้ก่อนที่นี่
Galaxy A30 และ Galaxy A50 มีดีไซน์ที่คล้ายกันมาก โดยเฉพาะจอแสดงผลแบบ Infinity-U ขนาด 6.4 นิ้วทนทานด้วยกระจก Gorilla Glass 3 ด้านหลังเป็นพลาสติกดีไซน์แบบกระจกสวยงามทำให้พื้นผิวสะท้อนแสงแบบมีมิติซึ่ง Samsung มีชื่อเรียกว่า Glasstic ขนาดบอดี้ก็เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รุ่น ยังมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เมื่อพลิกไปดูที่ด้านหลัง
ในส่วนของกล้องหลัง ซึ่ง Galaxy A30 ติดตั้งมาให้ 2 ตัว แต่ Galaxy A50 มีกล้องหลัง 3 ตัว และ A30 มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ด้านหลัง ซึ่งหาไม่พบใน A50 เพราะถูกซ่อนไว้ใต้จอแสดงผล
จอแสดงผลของทั้ง 2 รุ่น ใช้สเปกเดียวกัน มากับจอ Super AMOLED ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2340 พิกเซล) ขนาด 6.4 นิ้ว ขอบจอบางเฉียบด้วยดีไซน์ Infinity-U มีรอยบากคล้ายรูปตัวยูสำหรับวางกล้องเซลฟี่ ทั้งสีสันและขนาด บอกได้เลยว่าเหมาะสำหรับการรับชมคอนเท้นต์วีดีโอเป็นอย่างยิ่ง
ลำโพงสนทนาถูกวางไว้จนชิดขอบบนสุด (อยู่เหนือกล้องเซลฟี่)
ใต้จอแสดงผลของ Galaxy A50 มีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบออปติคอล จึงรองรับฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ขณะที่ Galaxy S10 กับ S10+ มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแสดงผลเช่นกัน แต่ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตร้าโซนิค
Galaxy A30 ไม่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แต่ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ที่ด้านหลัง อย่างไรก็ตาม Galaxy A30 ยังมีฟีเจอร์ Face Unlock หรือ ปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้า แบบเดียวกับ Galaxy A50
นอกจากตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ อีกจุดที่ทำให้สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันก็คือ กล้องด้านหลัง Galaxy A30 มีกล้อง 2 ตัว ส่วน Galaxy A50 มีกล้อง 3 ตัว
อย่างที่บอกไปแล้วว่า Galaxy A30 และ Galaxy A50 มีมิติตัวเครื่องเท่ากัน ดังนั้น ทั้งคู่จึงมีส่วนขอบที่บางเท่ากัน 7.7 มิลลิเมตร โดยติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง กับปุ่มเพาเวอร์ไว้ทางซ้ายของจอแสดงผล
อีกข้างหนึ่งมีถาดใส่การ์ดแบบ 3 ช่อง สามารถใส่ซิมการ์ดได้พร้อมกัน 2 ซิม แบบนาโน และวางการ์ด MicroSD ได้อีก 1 ช่อง รองรับความจุสูงสุด 512GB
ด้านบนฝังไมโครโฟนตัวที่สองมาให้ด้วย ช่วยในการตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ด้านล่างประกอบไปด้วยช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟน และ ลำโพง ความน่าสนใจอยู่ที่พอร์ต USB Type-C ซึ่งหาได้อยากในสมาร์ทโฟนที่มีราคาไกล้เคียงกัน และนั่นทำให้สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น สนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
Galaxy A30 และ Galaxy A50 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh (เท่ากันทั้ง 2 รุ่น) ซึ่งถือว่ามีความจุเยอะพอสมควรหมดปัญหาการดูหนัง ฟังเพลงหรืแเล่นเกมส์ต่อเนื่องานๆไปได้ เมื่อเทียบกับความบาง 7.7 มิลลิเมตรของด้านข้าง อีกทั้งยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 15W ผ่านพอร์ต USB Type-C ที่นิยมใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆในปีนี้ ขณะที่หลายแบรนด์ยังเลือกใช้แบบเก่าอยู่
กล้องเซลฟี่ของทั้ง 2 รุ่น ใช้กล้องตัวเดียวเหมือนกัน แต่ความละเอียดแตกต่างกัน Galaxy A30 มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0 ส่วน Galaxy A50 มีความละเอียด 25 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0
ถึงแม้กลองเซลฟี่ของทั้งคู่จะมีความละเอียดไม่เท่ากัน แต่มีโหมดถ่ายภาพเหมือนกัน รองรับฟีเจอร์ Live Focus สำหรับละลายฉากหลัง พร้อมลูกเล่นเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มความสนุกให้ภาพถ่าย อย่างการแต่งภาพด้วย AR Sticker ก็มีให้เลือกหลายแบบ และสามารถถ่ายวีดีโอในระดับ Full HD นอกจากนี้ กล้องเซลฟี่ของทั้ง 2 รุ่น ยังช่วยสแกนใบหน้าเพือปลดล็อคสมาร์ทโฟนได้ด้วย
มาถึงกล้องด้านหลังที่ทำให้ Galaxy A30 กับ Galaxy A50 มีความแตกต่างกันชัดเจน เนื่องจาก Galaxy A30 ได้รับกล้องคู่หลัง ประกอบด้วยกล้องหลัก 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7 วางคู่กับกล้องมุมกว้าง Ultra Wide ให้มุมมองกว้างถึง 123 องศา ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2
สำหรับ Galaxy A50 มีกล้องหลัง 3 ตัว เริ่มที่กล้องหลัก 25 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7 กล้องมุมกว้าง Ultra Wide ให้มุมมองกว้างถึง 123 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 และเพิ่มกล้อง Depth Camera สำหรับจับระยะชัดลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2
โหมดถ่ายภาพจากกล้องหลังของทั้งคู่ มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้สลับการใช้งานระหว่างกล้องหลักกับกล้องมุมกว้าง พร้อมด้วยเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้กล้องระบุวัตถุหรือฉากหลังที่กำลังจะถ่ายภาพได้ และช่วยปรับค่ากล้องให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพอาหาร, คน, ดอกไม้, สุนัข, ต้นไม้, ภูเขา, ชายหาด, พระอาทิตย์ตก, น้ำตก, เวลากลางคืน และฉากอื่นๆ อีกประมาณ 20 ประเภท
นอกจากนี้ยังมีโหมด Live Focus มาให้เหมือนกัน ถึงแม้ Galaxy A30 จะไม่มีกล้อง Depth Camera แต่ก็สามารถละลายฉากได้ด้วยซอฟต์แวร์ และยังมีโหมดโปร สามารถปรับค่าความไวแสง, สมดุลสีขาว และ ค่าชดเชยแสง
จะเห็นว่ากล้องหลังของ Galaxy A30 และ Galaxy A50 มีกล้องหลักกับกล้องมุมกว้างเหมือนกัน ถึงแม้ความละเอียดของรุ่นพี่จะมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น รองรับการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์หรือโหมดการใช้งานกล้องแบบเดียวกัน แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างกัน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในโหมด Live Focus เนื่องจาก Galaxy A50 มีกล้อง Depth Camera มาให้ด้วย จึงสามารถวิเคราะห์ฉากหลังได้แม่นยำกว่า
ประสิทธิภาพภายในแยกทั้งคู่ให้ห่างกัน Galaxy A30 มากับชิปประมวลผล Exynos 7904 (1.8GHz Dual Core + 1.6GHz Hexa Core) ความจำ RAM 4GB จับคู่กับ ROM 64GB ขณะที่ Galaxy A50 ได้รับชิปประมวลผล Exynos 9610 (2.3GHz Quad Core + 1.7GHz Quad Core) ความจำ RAM 6GB จับคู่กับ ROM 128GB
ระบบปฎิบัติการ Android 9.0 และ One UI 1.1 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
ดูเหมือน Galaxy A50 จะได้เปรียบเรื่องชิปประมวลผล แต่การใช้งานจริง Galaxy A30 ก็ตอบสนองการเล่นเกมได้น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ทำให้ Galaxy A50 เหนือกว่าจริงๆ ก็คือความจุในตัว ที่มีพื้นที่มากกว่าถึง 2 เท่า จึงสามารถติดตั้งเกมใหญ่ๆ ได้เยอะกว่า สามารถเล่นเกมยอดฮิตอย่าง PUBG หรือ ROV ได้ลื่นถึง 60 FPS เลยทีเดียว
สรุปแล้ว ถ้ามองในเรื่องของจุดเด่นที่ Samsung นำเสนอมากับ Galaxy A30 และ Galaxy A50 จะเห็นว่าทั้งคู่ มีความโดดเด่นที่ดีไซน์สวยงาม งานประกอบเทียบเท่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงได้เลย และยังมากับหน้าจอดีไซน์ใหม่ Infinity-U ที่ทำให้จอแสดงผลมีพื้นที่กว้างมากขึ้น และยังแสดงภาพได้อย่างคมชัด ดังนั้นใครที่กำลังติดตามรายการทีวีออนไลน์ จะไม่ผิดหวังหากเลือกซื้อ Galaxy A30 ราคา 7,290 บาท หรือ Galaxy A50 ราคา 11,490 บาท
แต่ในความเหมือนก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน Galaxy A50 ตอบสนองการถ่ายภาพในโหมด Live Focus ได้ดีกว่า ประสิทธิภาพด้านชิปประมวลผลและความจำเหนือกว่า พร้อมรองรับเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนจอแสดงผล แต่ก็ต้องตอบคำถามตัวเองด้วยว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเองหรือไม่ และคุ้มค่าหรือไม่ที่จะจ่ายเงินเพิ่มอีก 4,200 บาท โดยราคาของ Galaxy A30 อยู่ที่ 7,290 บาท ส่วนรุ่นยอดนิยม Galaxy A50 อยู่ที 11,490 บาทเท่านั้น ปิดท้ายด้วยตัวอย่างภาพถ่ายจากทั้ง 2 รุ่นจากประเทศญี่ปุ่น
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย Galaxy A30
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย Galaxy A50