OPPO สานต่อความสำเร็จจากสมาร์ทโฟน OPPO F9 ในปีที่แล้วด้วยการเปิดตัว OPPO F11 Pro พร้อมยกระดับเทคโนโลยีเทียบชั้นสมาร์ทโฟนระดับท็อป รวมถึงการออกแบบที่หรูหรา อีกทั้งยังพัฒนากล้องด้านหน้าใหม่ที่มีชื่อเทคโนโลยีกล้องเซลฟี่ว่า Rising Camera คือกล้องด้านหน้าสามารถเลื่อนขึ้น-ลง เพื่อเก็บกล้องได้ ส่วนกล้องหลังเป็นแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล รวมถึงแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ 4000mAh ที่ให้ระบบชาร์จไวกว่าเดิมแบบ VOOC 3.0 มาด้วย
ที่สำคัญยังวางจำหน่ายในราคา 10,990 บาท เท่ากับ OPPO F9 ตอนเปิดตัวอีกด้วย นอกจากนี้ทางทีมงาน @flashfly ก็ได้นำเสนอบทความแกะกล่องสัมผัสแรก OPPO F11 Pro กันไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอรีวิว OPPO F11 Pro แบบเจาะลึก ซึ่งจะเป็นอย่างไร ไปชมกันได้เลย
มาเริ่มต้นกันที่หน้าจอของ OPPO F11 Pro มากับจอแสดงผลแบบ Panoramic Screen ที่ให้มุมมองกว้างขึ้นกว่าเดิม โดยไม่มีรอยบาก (Notch) เหมือนก่อนอีกต่อไป และมีขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 19.5:9 และอัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้สูงถึง 90.9%
โดยลำโพงสนทนาติดตั้งอยู่ชิดขอบบน ด้านหน้าปกป้องด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่ทนทาน และเคยถูกนำมาใช้รุ่นแฟลกชิปมาแล้ว
ส่วนแผงหลังดีไซน์เงางามแบบ 3D พร้อมเคลือบผิวด้วยเทคนิคพิเศษ Nano Printing ทำให้เกิดความสวยงามหรูหราไม่ซ้ำใคร และการไล่ระดับสีถึง 3 เฉดสีแบบ Triple Color Gradient ของสีดำ Thunder Black และสีเขียว Aurora Green ทำให้ OPPO F11 Pro ดูโดดเด่นอย่างมาก
ด้วยความที่หน้าจอขนาดใหญ่ และมีฟังก์ชันรองรับทำให้แบ่งหน้าจอเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกันได้อย่างสบายๆเต็มตา
ส่วนที่ด้านหลังมาพร้อมกล้องคู่ (Dual Camera) และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ รวมถึงโลโก้ OPPO ที่เรียงกันในแนวตั้ง ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของ OPPO F11 Pro ด้วยความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซลและกล้องโบเก้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
ซึ่งถ้าใครต้องการใช้กล้องความละเอียด 48 ล้านพิเซลต้องมาเปิดที่ตั้งค่าของกล้องเอง แต่แน่นอนว่าไฟล์ภาพที่ได้จะมีความละเอียดเพิ่มมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นไปด้วย
ที่กล้องตัวหลักประกอบด้วยชุดเลนส์ 6 ชิ้น มีขนาดรูรับแสง F/1.79 พร้อมขนาดพิกเซล 1.6 ไมครอน จึงตอบสนองความไวแสงได้เร็วขึ้น และช่วยให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้สวยงามคมชัดยิ่งขึ้น
รวมถึงการรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode ที่มี AI มาช่วยประมวลผลภาพถ่าย เพื่อปรับปรุงไดนามิค ลดจุดรบกวน พร้อมแยกบุคคลออกจากฉากหลัง และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว ทำให้ภาพถ่ายบุคคล (Portrait) ในที่แสงน้อยออกมาสวยงามได้อย่างน่าประทับใจมาก
นอกจากนี้ยังนำระบบ AI Scene Recognition มาใช้สำหรับในการระบุวัตถุ หรือฉากที่ต้องการจะถ่ายได้ถึง 23 หมวดหมู่โดยมีโหมดถ่ายภาพให้ใช้งานหลายโหมด ได้แก่ Photo, VIDEO และ Portrait เมื่อกดที่ไอค่อน 3 ขีดฝั่งซ้ายก็จะมีเมนูการถ่ายภาพซ่อนอยู่อีก 5 โหมดคือ Night, Pano, Expert ,Time-Lapse และ Slo-Mo
ถ่ายภาพกลางวันก็สดใสสวยงามด้วยโหมดสีจัด Dazzle color โหมดนี้จะเป็นปรับความเข้มสว่างและสีของภาพออกมาโดยเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เมื่อกดถ่ายแล้วใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ได้ภาพที่สีสันสดใส อวดเพื่อนได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาแต่งภาพผ่านแอพพลิชั่นใดๆ
ขอบด้านข้างมีความบาง 8.8 มิลลิเมตร โดยที่ด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง
ส่วนที่ด้านขวามีถาดใส่การ์ดแบบ Hybrid-Slot ที่รองรับ 2 ซิมการ์ด โดยในช่องที่สองต้องเลือกใช้ซิมการ์ดที่สอง หรือการ์ดความจำ MicroSD และปุ่มเพาเวอร์ ที่มีการติดแถบสีเขียวลงบนปุ่มด้วย
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่สองเพื่อตัดเสียงรบกวน ส่วนริมอีกด้านมีการซ่อนเซ็นเซอร์ Light กับ Proximity ไว้
สำหรับตรงกลางเป็นตำแหน่งกล้องเซลฟี่ Rising Camera คมชัด 16 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F2.0 และนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ใบหน้า ซึ่งเป็นจุดเด่นของ OPPO ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในการจดจำใบหน้าของผู้ใช้งานได้ถึง 137 จุด จึงช่วยถ่ายภาพในโหมด Beauty ได้แม่นยำกว่าเดิม และยังสามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ ระบบ AI ในกล้องหน้ายังช่วยให้กล้องเซลฟี่ของ F11 Pro สามารถระบุเพศ อายุ สีผิว ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่ม โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในกลุ่มมีความหลากหลายทั้งเพศ อายุ และ สีผิว แต่ด้วย AI จะช่วยให้ใบหน้าของทุกคนออกมาดูดีที่สุด
สำหรับกล้องเซลฟี่ Rising Camera ของ OPPO F11 Pro ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ด้วยดีไซน์โค้งมน และโปร่งแสงเหมือนคริสตัล ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอำพัน และให้ดูคล้ายกับฝาของขวดน้ำหอม เมื่อตัวกล้องสไลด์ขึ้น และยังมีระบบป้องกันความเสียหาย โดยจะเก็บกล้องอัตโนมัติเมื่ออุปกรณ์ร่วงจากมือ ซึ่งทาง OPPO ได้ใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วงเอาไว้
ที่ด้านล่างพบกับลำโพงซ่อนอยู่ในตะแกรง 3 ช่อง ถัดมาเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Micro USB ที่รองรับ VOOC 3.0 ตามด้วยไมโครโฟนตัวหลัก และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
OPPO F11 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนราคาเพียงแค่หมื่นบาทที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามเหมือนสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม และยังใส่ใจทุกรายละเอียด โดยคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก
ยกตัวอย่าง ตำแหน่งของลำโพงก็พิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว ว่ามือของผู้ใช้งานจะไม่ปิดบังขณะถือเล่นเกมในแนวนอน ส่วนไมโครโฟนก็ติดตั้งมาให้ 2 ตัว ทั้งด้านล่าง และด้านบน เพื่อช่วยให้การสนทนาชัดเจนขึ้น
OPPO F11 Pro ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบด้วย ColorOS 6.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ OPPO พัฒนา User Interface ออกมาสำหรับสมาร์ทโฟนดีไซน์ Full Screen โดยเฉพาะ ทำให้ UI ดูแปลกตาไปจากสมาร์ทโฟนรุ่นก่อนๆ ของ OPPO
ColorOS 6.0 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการนำทางด้วยท่าทาง, ระบบปิดการแจ้งเตือนระหว่างขับขี่ยานพาหนะ, ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่รองรับความสามารถในการถ่ายภาพสินค้าต่างๆ เพื่อค้นหาแหล่งช้อปปิ้งได้ทันที
และยังมี Smart Bar ที่เรียกใช้งานได้ง่ายๆ เพียงปัดนิ้วจากทางซ้ายของจอแสดงผล ภายใน Smart Bar จะแสดงเครื่องมือการจับภาพหน้าจอ พร้อมทางลัดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้งานบ่อย และผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆ ใน Smart Bar ได้ตามต้องการ
OPPO F11 Pro รองรับระบบรักษาความปลอดภัย 2 อย่าง คือ ระบบสแกนใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
ด้านประสิทธิภาพ OPPO F11 Pro เลือกใช้ชิปประมวลผล MediaTek Helio P70 มาพร้อม GPU ARM Mali-G72 MP3 900MHz ที่ได้รับการอัปเกรดให้เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน 5% และ 13% ตามลำดับ อีกทั้งยังออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานด้วย ส่วนความจำ RAM ให้มาที่ 6GB จับคู่กับ ROM 64GB ถือว่าให้มาพอดีๆ สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลาง
OPPO F11 Pro ตอบสนองการเล่นเกมด้วยเทคโนโลยี Hyper Boost ที่ช่วยรีดประสิทธิภาพให้เหมาะสำหรับการเล่นเกม รวมถึงการเปิดใช้งานแอพพลิเคชั่น และระบบต่างๆในเครื่องได้เร็วกว่าเดิมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 31% ทำให้เล่นเกมได้ลืนไหลแบบรุ่นแฟลกชิปในระดับ 61 FPS เลยทีเดียว
และยังมีตัวช่วยจัดการเกมอย่าง Game Space ที่จะช่วยใก้เล่นเกมได้อย่างไม่ติดขัดป้องกันการแจ้งเตือนต่างๆในตัวเครื่องไม่ให้มากวนใจ รวมถึงถ้ามีสายเรียกเข้าก็สามารถเลือกรับสายได้พร้อมๆกับการเล่นเกมอีกด้วย
ที่สำคัญ OPPO F11 Pro ยังออกแบบโครงสร้างภายในให้ช่วยลดอุณหภูมิลงได้ 4 – 5 องศาเซลเซียส ใครที่ชอบเล่นเกมต่อเนื่องนานๆ หรือติดซีรีย์เรื่องโปรดก็สามารถรับชมได้ไปยาวๆ
ฟีเจอร์อัดแน่นขนาดนี้ OPPO F11 Pro ยังมากับแบตเตอรี่ความจุ 4,000mAh ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน และติดตั้งเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 รุ่นใหม่ ที่ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 20% และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มในเวลา 80 นาที โดยอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ที่แถมมาให้ในกล่องพร้อมสายชาร์จ สนับสนุน VOOC 3.0 ไม่ต้องซื้อเพิ่ม และอุปกรณ์ทั้งหมดยังผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก TÜV SÜD อีกด้วย
OPPO F11 Pro เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง พร้อมกับราคาที่เปิดมาเพียง 10,990 บาท เท่ากับราคาเปิดตัวของรุ่น OPPO F9 ในปีก่อน ซึ่งช่วงราคานี้ถือว่ามีคู่แข่งอยู่พอสมควร แต่ทาง OPPO ก็ได้สร้างความแตกต่างด้วยการออกแบบที่โดดเด่นไม่แพ้สมาร์ทโฟนระดับเรือธง และพัฒนากล้องให้มีคุณภาพมากขึ้น เอาใจผู้ใช้งานรุ่นใหม่ที่เน้นถ่ายภาพ
ขณะเดียวกันประสิทธิภาพของชิปประมวลผล ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกม และยังไม่ลืมกลุ่มผู้ใช้งานที่ชอบดูซีรี่ย์ หรือคอนเทนต์วีดีโอ ด้วยจอแสดงผลขนาดใหญ่ ไร้กรอบ ไร้รอยบาก เชื่อว่ารุ่นนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากกับแฟนๆซีรีย์ F ของ OPPO อีกเช่นเคย
ตัวอย่างภาพถ่าย Portrait ตอนกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด Ultra Night Mode
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า