Samsung Galaxy S10 และ S10+ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เนื่องด้วยการปรับเปลี่ยนใหม่หลายๆ อย่าง ตั้งแต่หน้าจอแบบใหม่ ไปจนถึงระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic ล่าสุดนี้ทาง Samsung ได้นำ Samsung Galaxy S10 และ S10+ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว หลังจากเปิดตัวครั้งแรกไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทางทีมงาน @flashfly ก็เคยนำเสนอบทความพรีวิว Samsung Galaxy S10 และ S10+ กันไปก่อนหน้าแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกท่านจะมารับชมรีวิว Samsung Galaxy S10 และ S10+ กันแบบเจาะลึกกันได้เลย
สำหรับ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ เป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นแรกของ Samsung ในปีนี้ โดยมาพร้อมกับการยกเครื่องดีไซน์ใหม่หมด ในชื่อ Infinity-O Display กับหน้าจอไร้ขอบที่มีขอบจอบางลงกว่าเดิม และซ่อนกล้องเซลฟี่ไว้ในรูตรงมุมบนขวาของจอแสดงผล จึงทำให้หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น โดยที่ยังคงขนาดของตัวเครื่องไว้เท่าเดิม กับการดีไซน์แบบโลหะ อะลูมิเนียม ซีรีส์ 7000 ประกบด้วยแผงกระจก Corning Gorilla Glass 6 ที่ด้านหน้า และแบบ Corning Gorilla Glass 5 หลัง ที่มีความพรีเมียม เรียบหรู และป้องกันน้ำ ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 เช่นเคย
หน้าจอแสดงผลของทั้ง Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ รองรับเทคโนโลยี Dynamic AMOLED พร้อมมาตรฐาน HDR10+ ให้ภาพคมชัดทั้งในส่วนที่มืดหรือสว่าง มองเห็นชัดเจนในสภาพแสงตอนกลางวัน และรับรองขอบเขตสี DCI-P3 100% และมีฟีเจอร์ลดแสงสีฟ้าช่วยถนอมสายตา ซึ่งแต่เดิมจอแสดงผล Dynamic AMOLED มีเทคโนโลยีการลดแสงสีฟ้ามาให้อยู่แล้ว จึงทำให้ใน Galaxy S10 และ Galxy S10+ สามารถลดแสงสีฟ้าได้ถึง 42%
Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.4 นิ้ว ตามลำดับ โดยมีความคมชัดที่ระดับ 2K Quad HD+ อัตราส่วนภาพ 19:9 และจุดสังเกตความแตกต่างระหว่าง Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ กล้องเซลฟี่ที่ซ่อนอยู่ในรูตรงมุมบนขวาของจอแสดงผล โดย Galaxy S10 ใช้กล้องเซลฟี่แบบเลนส์เดียว ส่วน Galaxy S10+ มาพร้อมกับกล้องเซลฟี่แบบคู่ (Dual Camera) และเพื่อลดพื้นที่ขอบจอให้แคบที่สุด ลำโพงสนทนาจึงถูกขยับขึ้นไปวางจนสุดขอบบน
หนึ่งในฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ได้แก่ การนำเทคโนโลยีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาติดตั้งไว้บนจอ ด้วยเทคโนโลยี Ultrasonic ที่สามารถสแกนได้แบบ 3D ซึ่งเพิ่มระดับความปลอดภัยให้มากกว่าเดิม และไม่ต้องคลำหาตำแหน่งเซ็นเซอร์แบบในรุ่นก่อนๆ ที่ติดตั้งไว้ด้านหลังนั่นเอง
สำหรับรอบๆ ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ จะเหมือนกันคือ ด้านบนมีถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot พร้อมไมโครโฟนที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านล่างมีลำโพง, ไมโครโฟน, ช่องเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านขวามีปุ่มล็อกกรีน
ด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้งาน Bixby
นอกจากนี้ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ยังใช้เทคนิคการเคลือบผิวที่แผงหลังให้มีความเงางาม จึงช่วยส่งให้ดูหรูหราพรีเมี่ยมขึ้น และสามารถสะท้อนแสงเป็นประกายในบางมุมที่แสงมาตกกระทบ พร้อมกับตัวเลือกสีใหม่อย่าง สีขาว Prism White, สีเขียว Prism Green และสีดำ Prism Black
ซึ่งในรุ่น Galaxy S10+ จะมีความพรีเมียมมากขึ้นด้วยตัวเลือกแบบ Ceramic Edition ที่ผลิตจากเซรามิก โดยมีสีขาว Ceramic White และสีดำ Ceramic Black
นอกจากดีไซน์แล้ว ระบบกล้องถ่ายภาพก็เป็นอีกจุดเด่นที่ Samsung ภูมิใจนำเสนอ โดยติดตั้งกล้องมาให้ถึง 5 ตัว สำหรับ Galaxy S10+ แบ่งเป็นหลัง 3 หน้า 2 ส่วน Galaxy S10 มาพร้อมกล้อง 4 ตัว ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว และกล้องหน้า 1 ตัว นั่นเอง
กล้องหลังทั้ง 3 ตัว แบบ Triple Camera ของ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ มีความละเอียดเท่ากันที่ 12+16+12 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Ultra Wide และ Telephoto และรองรับเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และการโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel รวมถึง Dual Aperture กลไกปรับขนาดรูรับแสงอัตโนมัติระหว่าง F1.5 และ F2.4 จึงสามารถถ่ายภาพคมชัดได้ทั้งสภาพแสงตอนกลางวัน ไปจนถึงเวลากลางคืน
และยังมีรองรับเทคโนโลยีในการระบุฉากหลังหรือวัตถุที่ต้องการเก็บภาพ ในชื่อ Scene Optimizer ซึ่งจะเข้ามาช่วยตั้งค่ากล้องให้อัตโนมัติ ตามฉากหลังหรือวัตถุที่ตรวจจับได้ สามารถระบุได้มากกว่า 30 รูปแบบ ได้แก่ เด็ก, คน, สุนัข, แมว, อาหาร, ชายหาด, ท้องฟ้า, ภูเขา, พระอาทิตย์ตก, พระอาทิตย์ขึ้น, น้ำตก, ทิวทัศน์, เวที, ยานพาหนะ, เครื่องดื่ม, ดอกไม้, ต้นไม้, รองเท้า, ย้อนเเสง, ในร่ม, ตัวหนังสือ, เสื้อผ้า เป็นต้น
ทางด้านโหมดถ่ายภาพ Live Focus ก็มีการเพิ่มเอฟเฟกต์สำหรับปรับเปลี่ยนฉากหลังที่เบลอให้มีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถทำรูปแบบการเบลอได้มากถึง 4 แบบ
สามารถเลือกใช้งานเลนส์กล้องได้ 3 แบบ คือ การใช้งานเลนส์ปกติ, การใช้งานเลนส์มุมกว้าง (Ultra-Wide) และการใช้งานซูม (Telephoto)
สำหรับ Samsung Galaxy S10 Series ทุกรุ่น สามารถบันทึกวีดีโอได้สูงถึงระดับ 4K UHD และให้ความคมชัดเหมือนกล้อง Action Cam โดยเฉพาะการถ่ายวีดีโอด้วยกล้อง Ultrawide รวมถึงโหมด Super Steady ที่สามารถลดภาพสั่นไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการใช้งานโหมดนี้รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD เท่านั้น
รวมถึงสนับสนุนเทคโนโลยี HDR10+ และ Dynamic Tone ที่ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวแสดงรายละเอียดได้อย่างชัดเจนทั้งในส่วนที่มืดและสว่าง และยังมีโหมด Super Slow-mo ที่ระดับ 960 เฟรมต่อวินาที ในความละเอียด HD
ส่วนที่กล้องหน้า Galaxy S10+ มาพร้อมกล้องแบบคู่ (Dual Camera) โดยกล้องหลักมีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Dual Pixel รูรับแสง F1.9 ส่วนกล้องรองเป็น RGB Depth Camera ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สำหรับ Galaxy S10 รองรับกล้องเลนส์เดี่ยวความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งทั้งคู่สามารถถ่ายวีดีโอด้วยความละเอียดสูงถึง 4K UHD ได้เป็นรุ่นแรกของโลก
สำหรับ Galaxy S10+ มีโหมดถ่ายภาพด้านหน้าก็มีให้เลือก 2 อย่าง คือการถ่ายเซลฟี่ปกติ กับการถ่ายมุมกว้าง สำหรับถ่ายภาพพร้อมกันเพื่อนๆ หลายคน นอกจากนี้ ยังรองรับโหมดถ่ายภาพ Live Focus และมีฟังก์ชันให้ใช้งานหลากหลาย
และยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง AR Emoji อีกด้วย
แม้ว่ากล้องหน้าของ Galaxy S10 รวมถึงอีกหนึ่งรุ่นน้องอย่าง Galaxy S10e จะไม่มีรองรับเลนส์ RGB Depth Camera แบบใน Galaxy S10+ แต่ก็สามารถถ่ายภาพเซลฟี่แบบละลายฉากหลังได้เช่นเดียวกัน ด้วยฟีเจอร์ Selfie Focus ซึ่งกล้องของ Galaxy S10+ จะสามารถแยกแยะฉากหลังออกไปจากบุุคคลที่อยู่เบื้องหน้าได้แม่นยำกว่าด้วยเลนส์ RGB Depth Camera ดังกล่าว ส่วนในรุ่น Galaxy S10 และ Galaxy S10e จะใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการแยกพื้นหลังแทน
Samsung Galaxy S10 Series ทั้ง 3 รุ่น ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Exynos 9820 รุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 8 นาโนเมตร ที่มีความเร็วในการประมวลผลกราฟิกเพิ่มขึ้น 37% และมีความเร็วในการประมวลผลของซีพียูเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน โดยทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย UX ใหม่ล่าสุดอย่าง Samsung One UI
ด้วยประสิทธิภาพระดับท็อปทำให้สามารถเล่นเกมกราฟิกสูงๆ ได้ไหลลื่น และยังมีฟังก์ชัน Game Tools เข้ามาช่วยในการรีดเร้นศักยภาพตัวเครื่องทำงานเต็มประวิทธิภาพ และสามารถปิดการแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้รบกวนขณะเล่นเกมได้เช่นกัน
Samsung ให้หน่วยความจำมาแบบจุใจ โดยรุ่นใหญ่ Galaxy S10+ จะมี 3 ตัวเลือก คือ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 1TB เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันเลยทีเดียว พร้อมกับรุ่น RAM 8GB จับคู่กับ ROM 512GB และ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 128GB
สำหรับ Galaxy S10 วางจำหน่ายเพียง 1 เวอร์ชัน ที่มากับ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 128GB ซึ่งทุกรุ่นยังรองรับการเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุดถึง 512GB อีกด้วย
Samsung Galaxy S10+ พกพาแบตเตอรี่มาอย่างจุใจ ด้วยความจุ 4100mAh ส่วน Galaxy S10 ให้มาที่ 3400mAh โดยทั้งสองรุ่นสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0 ที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน และยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดอย่าง Wireless PowerShare ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ เพียงนำอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จไร้สาย ทั้งสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างเช่น Galaxy Watch / Galaxy Buds มาแตะ หรือวางที่แผงหลังของ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ นั่นเอง
Samsung Galaxy S10 series ได้รับการพัฒนาให้เหนือกว่าเรือธงรุ่นก่อนในทุกด้าน ตั้งแต่การออกแบบภายนอก จนถึงฮาร์ดแวร์ภายใน สำหรับใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่มีความพรีเมี่ยม จอแสดงผลขนาดใหญ่ พร้อมฟังก์ชันการถ่ายภาพครบ และสามารถเล่นเกมที่เน้นกราฟิก 3D ได้ลื่นไหล เชื่อว่า Galaxy S10 และ Galaxy S10+ สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเปิดราคาเริ่มต้นที่ 31,900 บาท สำหรับ Galaxy S10 และราคาเริ่มต้น 35,900 บาท สำหรับ Galaxy S10+ ซึ่งสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน Samsung Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ตัวอย่างภาพถ่ายเลนส์ปกติ เลนส์ซูม และเลนส์มุมมองกว้าง
ตัวอย่างภาพถ่ายเลนส์มุมมองกว้างสภาพแสงปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายเลนส์มุมมองกว้างตอนกลางคืน
ตัวอย่างภาพจากกล้องดิจิทัลด้านหน้า