มาแล้วรีวิวฉบับเต็มของ OPPO R17 Pro หลังจากที่ชมพรีวิว และการใช้งานโหมดถ่ายภาพกลางคืนด้วยโหมดกลางคืน Ultra Night Mode แบบไม่ใช้ขาตั้งกล้องกันไปแล้ว ทำให้หลายคนอยากทราบว่าแล้วฟีเจอร์อื่นๆของรุ่นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ซึ่งทีมงาน @flashfly ต้องบอกเลยว่าจัดเต็มเกินราคาค่าตัวอย่างมาก
ไม่ใช่เพียงแค่ดีไซน์สวยงาม แต่ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี สำหรับ OPPO R17 Pro สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ OPPO ภูมิใจนำเสนอ มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือบนจอแสดงผล เทคโนโลยีชาร์จเร็ว SuperVOOC Flash Charge กล้องหลัง 3 ตัว และการออกแบบที่โดดเด่น
OPPO R17 Pro ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงาม ด้วยสี Radiant Mist ที่มีการไล่เฉดสีจากสีฟ้าไปหาสีม่วง มาพร้อมกระจก 3D ทำให้พื้นผิวมีสีสันที่แตกต่างกันไปตามมุมของแสงที่มากระทบ โดยผ่านกระบวนการผลิตถึง 15 ขั้นตอน ทั้งการเคลือบผิว ขัดเงา ชุบโลหะด้วยไฟฟ้า และยังมีสีเขียว Emerald Green ให้เลือกด้วย
OPPO R17 Pro มากับจอแสดงผล AMOLED (2340 x 1080 พิกเซล) ขนาด 6.4 นิ้ว ขอบจอบางเป็นพิเศษ ทำให้สัดส่วนหน้าจอกว้างถึง 91.5% โดยมีรอยบากรูปทรงหยดน้ำ และครอบทับด้วยกระจกรุ่นใหม่ Corning Gorilla Glass 6 ที่มีความทนทานกว่ากระจกรุ่นก่อนถึง 2 เท่า
ภายใต้จอแสดงผลยังติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย ใช้ปลดล็อคสมาร์ทโฟนเหมือนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือทั่วไป สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว หรือจะใช้ฟีเจอร์ Face Unlock ปลดล็อคด้วยการมองกล้องเซลฟี่ก็ทำได้เช่นกัน
กล้องเซลฟี่ 25 ล้านพิกเซล ติดตั้งไว้ในรอยบาก และเหนือรอยบากมีลำโพงหูฟัง ที่น่าสนใจก็คือ OPPO R17 Pro ยังติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับแสงมาให้ด้วย แต่ซ่อนไว้ทางด้านขวา เพื่อให้จอแสดงผลมีพื้นที่กว้างที่สุด แต่ยังสามารถปรับแสงสว่างตามสภาพแวดล้อมได้อัตโนมัติ นอกจากเซ็นเซอร์ตรวจจับแสงยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับระยะห่างด้วยอินฟราเรดมาให้เช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ OPPO Find X ช่วยเปิด-ปิดจอแสดงผลโดยอัตโนมัติ เมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาสนทนาใกล้หู
ด้านหลังจะพบกับระบบกล้อง 3 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องคู่ 12 + 20 ล้านพิกเซล เสริมด้วยกล้อง TOF 3D Camera (Time of Flight) และใต้ชุดกล้องเป็นแฟลช Dual LED
ส่วนขอบรอบตัวเครื่องใช้วัสดุอลูมิเนียมอัลลอย ดีไซน์โค้งมน มีความบาง 7.9 มิลลิเมตร ติดตั้งปุ่มเพาเวอร์ทางด้านซ้ายของตัวเครื่อง
อีกข้างเป็นปุ่มปรับระดับเสียง แยกปุ่มเพิ่มเสียงกับปุ่มลดเสียงไว้ชัดเจน
ด้านบนมีรูไมโครโฟนตัวที่สอง ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ด้านล่างมีลำโพง, ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ต USB Type-C และ ถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ 2 ซิมขนาดนาโน (ไม่มีช่องใส่การ์ด MicroSD)
ตำแหน่งการวางลำโพงและพอร์ต USB Type-C ตั้งใจออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันนิ้วมือปิดทับในระหว่างใช้งานสมาร์ทโฟนในแนวนอน ระหว่างรับชมคอนเท้นต์วีดีโอหรือเล่นเกม สำหรับพอร์ต USB Type-C ยังสามารถเชื่อมต่อกับสาย HDMI เพื่อส่งภาพจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลบนจอภาพขนาดใหญ่ได้อีกด้วย ผ่านฟีเจอร์ Screen Streaming
อีกหนึ่งไฮไลท์ของ OPPO R17 Pro ก็คือมาพร้อมได้รับแบตเตอรี่ 2 เซลล์ ความจุ 1,850mAh รวมกันเป็น 3,700mAh สนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่สุดในโลก SuperVOOC Flash Charge (50 วัตต์) ซึ่งชาร์จเร็วกว่า VOOC Flash Charge ของ OPPO ใช้เวลาชาร์จเพียง 10 นาที ให้พลังงานแบตเตอรี่ถึง 40% หรือชาร์จแค่ 30 กว่านาทีแบตเตอรี่ก็เต็มแล้ว แถมยังปลอดภัยและตัวเครื่องไม่ร้อนอีกด้วย ฟีเจอร์นี้น่าทึ่งมากๆ
กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน มีความพิเศษที่สามารถปรับขนาดรูรับแสงได้อัตโนมัติระหว่าง F1.5 กับ F2.4 โดยมีชื่อเรียกว่า Smart Aperture รูรับแสงอัจฉริยะ เมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อย ระบบจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสง F1.5 เพื่อเก็บภาพยามค่ำคืนได้อย่างคมชัด
พร้อมด้วยโหมด Ultra Night สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนโดยเฉพาะ และในสภาพแสงปกติหรือตอนกลางวันจะใช้ขนาดรูรับแสง F2.4 กล้องตัวหลักยังทำงานร่วมกับกล้องรอง 20 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.6 ช่วยในการถ่ายภาพโบเก้ในโหมด Portrait
ระบบกล้องหลังของ OPPO R17 Pro ได้รับการออกแบบมาให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้อย่างสวยงามคมชัด นอกจากจะมีโหมด Ultra Night ยังมีระบบประมวลผลภาพ AI Ultra Clear Engine การประมวลผลภาพภายในระยะเวลา 2-4 วินาที รวมภาพและวิเคราะห์ปรับแสง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คมชัด รวมไปถึงเทคโนโลยีลดภาพสั่นไหวแบบออปติคอล หรือ OIS และจับโฟกัสได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบ Dual Pixel
ส่วนกล้องตัวที่ 3 เป็นกล้อง TOF 3D Camera (Time of Flight) ใช้จับภาพวัตถุหรือสภาพแวดล้อมได้ถึง 360 องศา โดยการฉายแสงอินฟราเรดไปยังพื้นผิวของวัตถุแล้วส่งสัญญาณกลับมายังตัวเซ็นเซอร์ TOF 3D Camera ทำให้กล้องหลังของ OPPO R17 Pro สามารถสร้างโมเดล 3 มิติ จากวัตถุที่ต้องการได้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกับแอพพลิเคชั่นด้าน AR
และยังช่วยถ่ายภาพในโหมด Portrait หรือละลายฉากหลังได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม OPPO จะปล่อยแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับเซ็นเซอร์ TOF 3D Camera ออกมาให้อัพเดทในอนาคต
สำหรับการถ่ายภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน OPPO ได้นำฟีเจอร์ AI Scenes Recognition มาช่วยปรับค่ากล้องให้อัตโนมัติ ตามฉากหรือวัตถุที่กำลังจะถ่าย สามารถระบุได้ถึง 23 ประเภท เช่น ดอกไม้, พระอาทิตย์ขึ้น, พระอาทิตย์ตก, สุนัข, บุคคล, อาหาร เป็นต้น และยังมี Color Engine ที่ช่วยแต่งเม็ดสีในทุกพิเซลให้สามารถแสดงสีที่หลากหลายในฉากต่างๆ ทำให้ได้แสงในภาพที่แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
OPPO R17 Pro ยังช่วยให้ผู้ใช้งานถ่ายภาพในโหมด Portrait ให้ดูเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้นด้วย AI Portrait Mode ที่สามารถละลายฉากหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเอฟเฟกต์จัดแสงอย่าง Natural Light, Film Light, Monotone Light ,Bi-color Light ,Canvas Light และ Shake light เมื่อถ่ายด้วยโหมดนี้เราจะสามารถปรับเลือกปรับเปลี่ยนเอฟเฟกต์จัดแสงได้ตามใจภายหลังอีกด้วย
สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างจริงจัง OPPO R17 Pro ยังสนับสนุนฟีเจอร์ RAW HDR ไฟล์ภาพรูปแบบ RAW ที่เป็นภาพถ่ายต้นฉบับก่อนถูกบีบอัดด้วยซอฟต์แวร์ จึงมีคุณภาพสูงเหมาะสำหรับนำไปตกแต่งแก้ไขเพิ่มเติมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
กล้องเซลฟี่ 25 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง F2.0 รองรับโหมดถ่ายภาพ AI Beauty ปรับแต่งใบหน้าให้ดูดีอย่างเป็นธรรมชาติด้วยการสแกนใบหน้าถึง 296 จุด พร้อม AI ช่วยวิเคราะห์จากเพศ อายุ และลักษณะของผิว นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายเซลฟี่ในที่กลางแจ้งหรือย้อนแสงได้อย่างคมชัด ด้วยเทคโนโลยี Sensor-HDR
เพิ่มความสนุกด้วยโหมด AR Stickers ใส่เอฟเฟกต์จัดแสงให้ฉากหลังได้ มีฟิลเตอร์ให้เลือกหลายแบบ และสามารถสร้างตัวการ์ตูนจากภาพถ่ายเซลฟี่ เพื่อใช้เป็นสติกเกอร์เคลื่อนไหวได้ด้วย
OPPO R17 Pro ทำงานบนระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.2 ทำงานบนพื้นฐาน Android 8.1 Oreo ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 Octa Core 2.2GHz รองรับ Artificial Intelligence (AI) Engine พร้อมด้วยจีพียู Adreno 616 ความจำ RAM 8GB จับคู่กับ ROM 128GB
ซึ่งสเปกสูงสุดในซีรีย์ R17 ที่ OPPO นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย สามารถทำคะแนนจาก AnTuTu Benchmark แอพวัดประสิทธิภาพยอดฮิตไปได้ในระดับแสนหกหมื่นคะแนนได้อย่างสบายๆ
ด้วยสเปกแรงขนาดนี้ทำให้ OPPO R17 Pro เล่นเกมยอดฮิตอย่าง PUBG และ ROV ได้กราฟิกระดับสูงสุด ลื่นไหลระดับ 60 fps กันไปเลยทีเดียว แถมสามารถเล่นไปชาร์จไปได้โดยตัวเครื่องไม่ร้อนแถมแบตเตอรี่เต็มไวแบบสุดๆอีกด้วย
ColorOS 5.2 มาพร้อมกับฟีเจอร์ Smart Bar ที่พัฒนาขึ้นมาให้ช่วยทำงานแบบ Multitasking เพียงปัดนิ้วมือจากขอบด้านข้างของจอแสดงผล ก็จะพบกับ Smart Bar ที่มาพร้อมทางลัดเข้าสู่แอพพลิเคชั่นโปรดได้ทันที พร้อมฟีเจอร์จับภาพหน้าจอ หรือบันทึกหน้าจอเป็นวีดีโอ และยังมีแอพพลิเคชั่น Video Editing ช่วยตัดต่อวีดีโออย่างง่าย มาพร้อม ธีม ฟิลเตอร์ เสียง ข้อความ ลายน้ำ และ เอฟเฟกต์พิเศษต่างๆ สำหรับแทรกลงในวิดีโอที่ต้องการ
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้วทำให้การใช้งานแบ่งหน้าจอบน OPPO R17 Pro ทำได้อย่างสบายๆ อย่างเปิดใช้งาน 2 แอพบนหน้าจอเดียวกันจะดู Youtube พร้อมกับเล่น FaceBook ไปด้วยก็สามารถทำพร้อมได้อย่างลื่นไหล หรือจะดูคลิปแบบเต็มหน้าจอก็ชมได้แบบเต็มตาจริงๆ
OPPO R17 Pro โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบที่สวยงามให้สีสันไม่เหมือนใคร ใช้จอแสดงผล AMOLED ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการรับชมคอนเท้นต์วีดีโอ ชิปประมวลผลรุ่นใหม่เล่นเกมได้อย่างเต็มรูปแบบ รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันด้วย RAM 8GB แบตเตอรี่ชาร์จเร็วที่สุดในโลก Super VOOC Flash Charge ที่แต่เดิมมีเฉพาะในรุ่นราคาห้าหมื่นบาทเท่านั้น ตอนนี้สามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาถูกกว่าครึ่ง
และที่เป็นไฮไลท์คือกล้องดิจิตอลด้านหลัง 2 รูรับแสง F2.4 และ F1.5 หรือ Smart Aperture ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้อย่างสมบูรณ์แบบ คมชัดแบบสุดๆและยังเก็บทุกสภาพแสงได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับช่างภาพมือโปร สามารถถ่ายวิดิโอความละเอียด 4K ได้อีกด้วย
OPPO R17 Pro จะเปิดรับจองตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2561 ในราคา 24,990 บาทจะได้รับของแถมมูลค่ารวม 9,200 บาท ได้แก่ OPPO VIP Card ประกันหน้าจอแตก ภายใน 1 ปี และ OPPO Tripod ขาตั้งกล้องสุดพรีเมี่ยม นอกจากนี้ยังมีราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 9,990 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือนกับผู้ให้บริการเครือข่ายฯ ทั้ง AIS, Dtac และ TrueMove H ซึ่งจะได้รับของแถมมูลค่ารวม 9,200 บาท เช่นเดียวกันอีกด้วย
ใครที่อยากเป็นเจ้าของอยู่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด โดย OPPO R17 Pro จะเปิดจำหน่ายวันแรกพร้อมกันที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ เป็นต้นไป ปิดท้ายท้ายตัวอย่างภาพถ่ายด้วย OPPO R17 Pro กันแบบจุใจ
ตัวอย่างภาพถ่ายกลางคืน Ultra Night Mode
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องดิจิตอลด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องเซลฟี่ด้านหน้า
บทความโดย – www.flashfly.net
ขอบคุณตากล้องรับเชิญพิเศษ – Raman Riverside