iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่เปิดตัวในปี 2014 ถือเป็น iPhone อีกรุ่นหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และทำยอดขายได้น่าประทับใจ ก่อนจะออกทายาทอย่าง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ในปีต่อมา ซึ่งยังคงมีการออกแบบคล้ายกันแต่อัพเกรดประสิทธิภาพและกล้องให้ดียิ่งขึ้น
ถึงแม้ iPhone 6 และ iPhone 6s ยังสนับสนุนระบบปฏิบัติการ iOS 12 เช่นเดียวกับ iPhone ในปี 2018 แต่ด้วยอายุที่มากกว่า 3 – 4 ปี อาจทำเจ้าของ iPhone ทั้ง 2 รุ่น กำลังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่กว่า โดยเฉพาะ iPhone XR ซึ่งถือว่ามีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับ iPhone XS และ XS Max แต่ถ้าใครยังลังเลใจ ลองอ่านเหตุผล 7 ข้อ ดังต่อไปนี้ อาจช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ดีไซน์ไร้ขอบ
สำหรับเจ้าของ iPhone 6 และ iPhone 6s จะพบว่าการเปลี่ยนไปใช้ iPhone XR ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ในเรื่องของการออกแบบ ด้วยดีไซน์ไร้กรอบ มีรอยบาก ขาดช่องเสียบหูฟัง ขนาด 3.5 มิลลิเมตร และด้วยดีไซน์ไร้กรอบ อาจทำให้ iPhone XR มีความทนทานน้อยกว่า แต่ก็ชดเชยด้วยคุณสมบัติกันน้ำได้ในระดับ IP67 (อยู่รอดในน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร นานสูงสุด 30 นาที) และสนับสนุนการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
iPhone XR ยังมีจอแสดงผลที่ใหญ่กว่า ด้วยขนาด 6.1 นิ้ว ขณะที่ iPhone 6 Plus และ iPhone 6s Plus มีขนาด 5.5 นิ้ว แต่ขนาดบอดี้ของ iPhone XR แทบไม่แตกต่างไปจาก iPhone รุ่น Plus ที่สำคัญก็คือ iPhone XR มีจอแสดงผลที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับขนาด 4.7 นิ้ว ของ Phone 6 และ iPhone 6s
หน้าจอของ iPhone XR ยังสนับสนุนการแสดงผล Dolby Vision และ HDR10 แต่ไม่มี 3D Touch ซึ่ง Apple เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ iPhone 6s
iPhone XR ยังผลิตออกมาให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ, สีฟ้า, สีเหลือง, สีส้มคอรัล และ สีแดง (PRODUCT) RED
ประสิทธิภาพ
iPhone 6 และ iPhone 6s อาจได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกับ iPhone XR เพราะสนับสนุน iOS 12 เช่นเดียวกัน แต่ในเรื่องความเร็วในการใช้งาน จะแตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะ iPhone 6 และ iPhone 6s ใช้ชิปประมวลผล A8 และ A9 ตามลำดับ พร้อมความจำ RAM 2GB แต่ iPhone XR ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด A12 Bionic เช่นเดียวกับ iPhone XS พร้อมด้วย RAM 3GB
ระบบกล้อง TrueDepth และ Face ID
กล้องด้านหน้าของ iPhone 6 และ iPhone 6s ใช้สำหรับ FaceTime และถ่ายภาพเซลฟี่ แต่สำหรับ iPhone XR มีความสามารถมากกว่านั้น เพราะใช้ระบบกล้อง TrueDepth ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ซับซ้อน รวมถึงกล้อง 7 ล้านพิกเซล ช่วยให้เจ้าของ iPhone XR ปลดล็อคอุปกรณ์ได้ง่ายๆ เพียงจ้องมองไปที่จอแสดงผลหรือกล้องด้านหน้า แทนวิธีการสแกนลายนิ้วมือผ่าน Touch ID ที่ฝังอยู่บนปุ่มโฮมของ iPhone 6 และ iPhone 6s
ระบบกล้อง TrueDepth ของ iPhone XR ยังสามารถใช้ยืนยันตัวตนในการชำระเงิน รองรับฟีเจอร์ Animoji และ Memoji
กล้องด้านหลัง
iPhone XR มาพร้อมกล้องที่ดีที่สุดของ iPhone เช่นเดียวกับ iPhone XS หรือ XS Max เพียงแต่ขาดกล้องเทเลโฟโต้ ดังนั้น เมื่อเทียบกับกล้องดิจิตอลของ iPhone 6 และ iPhone 6s ต้องยอมรับว่า iPhone XR เหนือกว่าอย่างแน่นอน
iPhone XR มาพร้อมกล้อง 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS รองรับฟีเจอร์ Smart HDR และโหมดถ่ายภาพ Portrait อีกทั้งยังสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
ถึงแม้ iPhone XR จะขาดกล้องเทเลโฟโต้ แต่ก็สามารถใช้โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้และควบคุมระยะชัดลึก ได้แบบเดียวกับ iPhone XS หรือ XS Max
การเชื่อมต่อ
iPhone XR นำเสนอการเชื่อมต่อกับเครือข่าย LTE และ Wi-Fi ที่เร็วกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงการเชื่อมต่อ Bluetooth ก็ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ในส่วนของระบบเซลลูล่าร์ ยังเทียบไม่ได้กับ iPhone XS กับ XS Max ที่สนับสนุน Gigabit LTE
iPhone XR ยังรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยซิมหลักจะใช้ซิมการ์ดปกติเหมือน iPhone รุ่นก่อนๆ ส่วนอีกซิมเป็นรูปแบบ eSIM ที่ฝังอยู่ภายในไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดให้ยุ่งยาก ก็สามารถเลือกใช้งานกับผู้ให้บริการฯ ที่สนับสนุน eSIM ได้ทันที (ยกเว้นเวอร์ชั่นที่วางจำหน่ายในประเทศจีน จะรองรับ 2 ซิมการ์ดในรูปแบบปกติ)
อย่างไรก็ตาม iPhone XR ไม่มีช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของ iPhone 6 และ iPhone 6s ต้องปรับตัวพอสมควร
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
ในแง่ของตัวเลขความจุแบตเตอรี่ iPhone XR, iPhone 6 และ iPhone 6s อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ iPhone XR มากับชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพกว่า ทั้งความเร็วในการประมวลผลระหว่างเล่นเกมหนักๆ หรือใช้แอพลิเคชั่นขนาดใหญ่ และยังจัดการพลังงานของแบตเตอรี่ได้ดีกว่าชิปรุ่นก่อนๆ ของ Apple ทำให้แบตเตอรี่ของ iPhone XR ให้พลังงานยาวนานกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่ง Apple ยืนยันว่า iPhone XR สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 8 Plus สูงสุด 1 ชั่วโมง กับอีก 30 นาที
ยิ่งไปกว่านั้น iPhone XR ยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ในเวลาเพียง 30 นาที และยังรองรับการชาร์จไร้สาย ผ่านอุปกรณ์ที่ผ่านการรับรองของ Qi
ราคา
iPhone XR มีด้วยกัน 3 รุ่น เริ่มต้นที่รุ่น 64GB ราคา 29,900 บาท รุ่น 128GB ราคา 31,900 บาท และรุ่น 256GB ราคา 35,900 บาท ซึ่งในรุ่นเริ่มต้นของ iPhone XR จะมีมูลค่าใกล้เคียงกับราคาเปิดตัวของ iPhone 6 และ iPhone 6s เมื่อสมัย 3 – 4 ปีก่อน และถ้าเจ้าของ iPhone 6 และ iPhone 6s ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ iPhone XR ก็จะสามารถใช้งาน iPhone รุ่นไป ไปได้อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปี จนกว่าจะถึงเวลาอัพเกรดเป็นรุ่นที่ใหม่กว่า
ที่มา – iPhoneHacks
http://www.flashfly.net/wp/?p=232048