สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือก iPhone XR หรือ iPhone XS ดีกว่ากัน เว็บไซต์ MacRumors ได้นำ iPhone ทั้ง 2 รุ่น มาเปรียบเทียบกันทั้งเรื่องของการออกแบบ สเปก และ ราคา เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ก่อนอื่นเรามาดูสเปกของทั้ง 2 รุ่น กันก่อน เพื่อดูว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
จากสเปกจะเห็นว่า iPhone XR มีจอแสดงผลใหญ่กว่า iPhone XS แต่ความละเอียดจอภาพน้อยกว่า ไม่สนับสนุน 3D Touch กับการแสดงผล HDR ขาดกล้องคู่หลัง แต่กล้องเซลฟี่มีคุณภาพพอกัน
สิ่งที่มีเหมือนกันแต่ iPhone XS ทำได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติกันน้ำที่มีมาตรฐานสูงกว่า รองรับเทคโนโลยี LTE ที่เร็วกว่า ความจุในตัวสูงกว่า
สำหรับ iPhone XS Max มีสเปกแบบเดียวกับ iPhone XS แตกต่างก็เพียงจอแสดงผลใหญ่กว่า แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่า 1 ชั่วโมง
จอแสดงผล
iPhone XS ใช้จอแสดงผล OLED ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ขนาด 5.8 นิ้ว iPhone XS Max ใช้จอแสดงผล OLED ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล ขนาด 6.5 นิ้ว iPhone XR ใช้จอแสดงผล LCD ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ขนาด 6.1 นิ้ว
ในภาพรวม iPhone ทั้ง 3 รุ่นใหม่ มีแผงด้านหน้าที่คล้ายกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของจอแสดงผล LCD ทำให้ส่วนขอบจอของ iPhone XR หนากว่า iPhone XS กับ XS Max อยู่เล็กน้อย
จอแสดงผลของ iPhone XR ยังไม่สนับสนุน 3D Touch แต่แทนที่ด้วย Haptic Touch อีกทั้งยังไม่รองรับการแสดงผล HDR แต่สนับสนุนการแสดงผลแบบ True Tone เหมือนกัน
การออกแบบ
iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max สนับสนุน Face ID เหมือนกัน ทำให้การออกแบบจอแสดงผลมีรอยบากเหมือนกับ iPhone X แต่ด้านหลังจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน นอกจากสีสันแล้ว iPhone XR ยังเป็นรุ่นเดียวที่ไม่ได้รับกล้องเลนส์คู่ อย่างไรก็ตาม แผงหลังใช้วัสดุกระจกเช่นเดียวกัน จึงรองรับการชาร์จไร้สายเช่นเดียวกัน
ด้านวัสดุ iPhone XR ใช้กรอบอลูมิเนียม ส่วน iPhone XS และ XS Max ใช้กรอบสแตนเลสสตีล ถ้าจะบอกว่า iPhone XR เป็นการอัพเกรดมาจาก iPhone 8 ส่วน iPhone XS และ XS Max เป็นการอัพเกรดมาจาก iPhone X ก็คงจะไม่ผิดนัก
ส่วนขอบด้านข้าง iPhone XS กับ XS Max มีความบางเท่ากัน 7.7 มิลลิเมตร ถึงแม้สัดส่วนด้านความสูงกับความกว้างจะแตกต่างกัน ขณะที่ iPhone XR มีความหนากว่าเล็กน้อย อยู่ที่ 8.3 มิลลิเมตร
iPhone XR ยังได้รับการออกแบบมาให้กันน้ำในระดับ IP67 เท่ากับ iPhone X ซึ่งหมายถึงสามารถต้านทานน้ำที่มีความลึกไม่เกิน 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที ส่วน iPhone XS กับ XS Max ได้รับมาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีก คือ IP67 สามารถต้านทานน้ำที่มีความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
แบตเตอรี่
Apple ไม่ได้เปิดเผยความจุแบตเตอรี่ของ iPhone ทั้ง 3 รุ่น แต่บอกว่า iPhone รุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานดีขึ้น iPhone XR ใช้งานได้นานกว่า iPhone 8 Plus สูงสุด 1.5 ชั่วโมง iPhone XS ใช้งานได้นานกว่า iPhone X สูงสุด 30 นาที และ iPhone XS Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone XS สูงสุด 1 ชั่วโมง
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ทั้ง 3 รุ่นใหม่ รองรับชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที และสนับสนุนการชาร์จแบบไร้สาย มาตรฐาน Qi แต่ภายในกล่องไม่ได้แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็วหรือชาร์จไร้สายมาให้
กล้อง
กล้องดิจิตดลด้านหลังของ iPhone ทั้ง 3 รุ่นใหม่ ได้รับกล้องมุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล แต่ iPhone XS กับ XS Max มาพร้อมกล้องเทเลโฟโต้ด้วย ซึ่งหมายความว่า iPhone XR ขาดการซูมแบบออปติคอล 2 เท่า และสามารถซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า ขณะที่อีก 2 รุ่น ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า
ถึงแม้ iPhone XR จะใช้กล้องหลังเลนส์เดียว แต่ก็สามารถถ่ายภาพในโหมด Portrait พร้อมควบคุมระยะชัดลึกได้เช่นกัน และสนับสนุน HDR ให้ภาพถ่ายมีรายละเอียดของแสงและเงา อีกทั้งยังสนับสนุนโหมด Portrait Lighting แต่มีเอฟเฟ็กต์เพียง 3 แบบ (แสงไฟธรรมชาติ แสงไฟสตูดิโอ แสงไฟคอนทัวร์) ขณะที่ iPhone XS กับ XS Max ได้รับเอฟเฟ็กต์ 5 แบบ (แสงไฟธรรมชาติ แสงไฟสตูดิโอ แสงไฟคอนทัวร์ แสงไฟเวที แสงไฟเวทีขาวดำ)
แต่ถ้าเป็นกล้องเซลฟี่ iPhone XR ใช้สเปกกล้องแบบเดียวกับ iPhone XS และ XS Max ทั้งโหมด Portrait Lighting ได้รับเอฟเฟ็กต์ 5 แบบ ระบบป้องกันภาพสั่นไหว สนับสนุนฟีเจอร์ Face ID, Animoji และ Memoji
ความจุ
iPhone XS และ iPhone XS Max มีให้เลือก 3 รุ่น คือ 64GB, 256GB และสูงสุด 512GB ขณะที่ iPhone XR มีให้เลือก 3 รุ่นเช่นกัน 64GB, 128GB และสูงสุด 256GB ดังนั้น ผู้ใช้งานที่มีความกังวลด้านพื้นที่จัดเก็บข้อมูล อยากได้ความจุถึง 512GB จะต้องเลือกซื้อเฉพาะ iPhone XS หรือ XS Max เท่านั้น
สีสัน
iPhone XS และ iPhone XS Max มีความคล้ายกับ iPhone X มากที่สุด และยังคงใช้สีเงิน กับ สีเทาสเปซเกรย์เหมือนกัน แต่เพิ่มสีทองเข้ามาให้เลือกอีก 1 สี ขณะที่ iPhone XR มีให้เลือก ถึง 6 สีได้แก่ สีสีดำ, สีฟ้า, สีเหลือง, สีส้มคอรัล และพิเศษกับ สีแดง (PRODUCT)RED ที่ปกติ Apple จะเก็บไว้เปิดตัวในภายหลัง
ราคา
Apple ยังไม่พร้อมวางจำหน่าย iPhone รุ่นใหม่ในประเทศไทย ดังนั้น เราจึงต้องอ้างอิงราคาจากในสหรัฐฯ และสังเกตได้ว่า iPhone XS มีราคาเริ่มต้นเท่ากับราคา iPhone X ในช่วงเปิดตัว ซึ่งในประเทศไทยเคยวางจำหน่ายอยู่ที่ 40,500 บาท ดังนั้น เราก็พอจะอนุมานได้ว่า ราคาที่เราแปลงค่าเงินมาให้แล้วนั้น อาจจะต้องบวกเพิ่มเข้าไปอีกราว 8 พันบาท จึงจะใกล้เคียงกับราคาขายปลีกในประเทศไทย
เลือกรุ่นไหนดี
ถ้าหากพิจารณาตามงบประมาณแล้ว iPhone XR คงเป็นตัวเลืกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ายอดขาย iPhone XR จะครองส่วนแบ่งถึง 50% ที่เหลืออีก 50% ต้องแชร์กันระหว่าง iPhone XS กับ iPhone XS Max และเป็นไปได้ที่ XS Max จะได้รับส่วนแบ่งน้อยที่สุด เนื่องจากมีราคาสูงกว่านั่นเอง
แต่ถ้าพิจารณาตามการใช้งานแล้ว iPhone XR เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่อยากได้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ iPhone X ไม่ว่าจะเป็น Face ID หรือ Wireless และ Fast charging แถมยังสนับสนุนการถ่ายภาพในโหมด Portrait ได้เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น iPhone XR ยังเหนือกว่า iPhone X ที่ชิปประมวลผลมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะใช้ชิป A12 แบบเดียวกับ iPhone XS และยังมีขนาดจอแสดงผลที่ใหญ่กว่า iPhone X ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone XS จะเห็นว่า iPhone XR มีจอแสดงผลใหญ่กว่า และแบตเตอรี่ให้พลังงานยาวนานกว่า แต่ iPhone XS เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการ iPhone ที่ดีที่สุด วัสดุดีกว่า กันน้ำในมาตรฐานสูงกว่า รองรับ gigabit-class LTE และมีความจุให้เลือกถึง 512GB แต่ถ้าอยากได้ iPhone ที่ดีที่สุดและมีจอแสดงผลใหญ่ที่สุด คงไม่มีอะไรเหมาะสมมากไปกว่า iPhone XS Max อีกแล้ว
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/?p=229473