Samsung ประเทศไทยประเดิมต้นปีด้วยสมาร์ทโฟนคู่ดูโอ Galaxy A8 และ Galaxy A8+ (2018) ถึงจะถูกจัดอยู่ในครอบครัว Galaxy A series แต่สำหรับ A8 และ A8+ (2018) ก็ถูกยกระดับขึ้นไปจนเกือบจะเทียบเท่าเรือธงอย่าง Galaxy S series โดยถือเป็น Galaxy A series รุ่นแรกที่ได้ใช้จอแสดงผล Infinity Display มาพร้อมกล้องคู่เซลฟี่ ละลายฉากหลังได้ และกันน้ำ-ฝุ่นในระดับ IP68 (อยู่รอดในน้ำลึกไม่เกิน 1.5 เมตร นานไม่เกิน 30 นาที) และนอกจากนี้ Galaxy A8 และ A8+ (2018) ก็ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย
Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) ได้รับการออกแบบมาเหมือนกัน แตกต่างกันที่ขนาดบอดี้ และขนาดจอแสดงผล แน่นอนว่า Galaxy A8+ (2018) จะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนว่าชอบสมาร์ทโฟนที่พกพาสะดวก หรือชอบสมาร์ทโฟนที่จอใหญ่มองเห็นภาพได้เต็มตากว่า
อย่างที่บอกไปว่านี่คือ Galaxy A series รุ่นแรกที่ได้ใช้จอแสดงผล Infinity Display ดังนั้น มุมมองด้านหน้าจึงมีส่วนคล้ายกับ Galaxy S8 หรือ S8+ ด้วยอัตราส่วนภาพ 18.5:9 ทำให้หน้าจอดูยืดยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ขอบจอด้านบนกับด้านล่างของ Galaxy S8 series จะมีความบางกว่า
Galaxy A8 (2018) มีขนาดหน้าจอ 5.6 นิ้ว ส่วน Galaxy A8+ (2018) มีขนาดหน้าจอ 6 นิ้ว แต่ทั้งคู่ใช้สเปกจอเหมือนกัน คือ Super AMOLED ความละเอียด 1080 x 2220 พิกเซล พร้อมด้วยฟีเจอร์ Always on Display และสามารถเข้าไปตั้งค่าจอแสดงผล เพื่อปรับสมดุลสีหน้าจอ หรือเปิดฟีเจอร์กรองแสงสีฟ้า
เหนือจอแสดงผลมีการซ่อนหลอดไฟ LED เอาไว้ด้วย สำหรับแจ้งเตือนหรือบ่งบอกสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ อีกทั้งยังติดตั้งกล้องเซลฟี่แบบเลนส์คู่ 16 + 8 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่คนเดียวหรือเป็นกลุ่ม และมีฟีเจอร์ละลายฉากหลังด้วย
ด้านล่างจะมี 3 ปุ่มหลักที่อยู่ในหน้าจอเลยทั้งปุ่มล่าสุด ,ปุ่ม Home และ ปุ่มย้อนกลับ ที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android คุ้นเคยกันดี
แผงหลังดูดีด้วยวัสดุกระจก และไม่สามารถแกะออกได้ โดยภายในมาพร้อมกับแบตเตอรี่ 3,000mAh สำหรับ Galaxy A8 (2018) และ 3,500mAh สำหรับ Galaxy A8+ (2018) ส่วนกล้องตัวหลักมีความละเอียดเท่ากัน 16 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และวางแฟลชไว้ที่ข้างเลนส์กล้อง
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวน และมีถาดใส่ซิมการ์ด พร้อมการ์ด microSD ขยายได้สูงสุด 256GB
ด้านข้างมีปุ่มปรับเสียง และมีถาดใส่ซิมการ์ดมาให้อีก 1 ช่อง นั่นหมายถึง Galaxy A8 และ A8+ (2018) รองรับ 2 ซิมการ์ด และยังใส่การ์ด microSD ได้อีกด้วย
อีกข้างหนึ่งจะพบกับตำแหน่งของลำโพงซ่อนอยู่ใต้ช่องตะแกรง และปุ่มเพาเวอร์ (ไม่มีปุ่มเรียก Bixby เหมือนเรือธง)
ไมโครโฟนตัวหลักอยู่ที่ด้านล่าง ใกล้กันมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C ภายในกล่องมาพร้อม Adapter ที่สนับสนุนการชาร์จเร็ว
จุดเด่นแรกที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นก็คือ กล้องคู่เซลฟี่ของ Galaxy A8 และ A8+ (2018) มีความละเอียด 16 + 8 ล้านพิกเซล แต่ละเลนส์มีความแตกต่างกันตรงที่มุมกว้าง ถ้าเน้นถ่ายเซลฟี่คนเดียว ควรใช้เลนส์ 16 ล้านพิกเซล เพราะจะให้ภาพที่คมชัดกว่า แต่ถ้าถ่ายเซลฟี่แบบเป็นกลุ่ม หรืออยากเก็บวิวด้านหลังด้วย ให้เลือกใช้เลนส์ 8 ล้านพิกเซล เพราะใช้เลนส์ที่มีมุมกว้างกว่า
ส่วนวิธีการเลือกใช้ระบบกล้องคู่ ในโหมดกล้องหน้าจะมีไอคอนรูปคน กับไอคอนรูปคนและมีภูเขาแหลมๆ ให้แตะใช้งาน
ระบบกล้องคู่เซลฟี่ของ Galaxy A8 และ A8+ (2018) ยังสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือละลายฉากหลังได้ด้วย โดยใช้ฟีเจอร์ Live Focus แล้วสามารถละลายงฉากหลังได้ตามต้องการ อยากให้เบลอมาก-น้อยขนาดไหน ก็ให้เลื่อนแถบ Background blur
กล้องดิจิตอลด้านหลังของ Galaxy A8 และ A8+ (2018) มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7 (ขนาดเท่ากับ Galaxy S8 series) จึงถ่ายภาพได้อย่างคมชัดไม่แพ้เรือธง ทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน อีกทั้งยังมีลูกเล่นสนุกๆ อย่างการแทรกรูปสติ๊กเกอร์น่ารักๆ เอามาตกแต่งใบหน้าหรือภาพถ่าย พร้อมด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร สำหรับคนชอบแชะก่อนชิม และแน่นอนว่ามีโหมดบิวตี้มาเอาใช้สาวๆ ด้วย
Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) ใช้ระบบยืนยันตัวตนที่ทันสมัย สามารถปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพียงจ้องมองที่หน้าจอ หรือใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้เช่นกัน โดยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะติดตั้งอยู่ใต้กล้องด้านหลัง
อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) ยืมมาจากเรือธงก็คือผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby ถึงแม้จะไม่มีปุ่มเรียกใช้งานโดยตรงมาให้เหมือน Galaxy S8 series แต่ก็สามารถเข้าถึงได้จากหน้าจอโฮม เพียงปัดปลายนิ้วมาทางขวา
Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) ตอบสนองการทำงานและเล่นเกมด้วยชิป Exynos 7885 ของ Samsung เอง โดยใช้แกนประมวลผล 2.2GHz (2 แกน) + 1.6GHz (6 แกน) ส่วนความจำของทั้งสองรุ่น มีความแตกต่างกันดังนี้ Galaxy A8 (2018) มากับ RAM 4GB ความจุ 32GB ส่วน Galaxy A8+ (2018) ได้รับ RAM 6GB ความจุ 64GB และทั้งสองรุ่นยังรองรับการ์ดความจำ microSD สูงสุด 256GB
นอกจากนี้ Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) ยังมีจุดเด่นอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูง Next G จากค่าย AIS ซึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนบ้านเราตอนนี้มีเพียงแฟลกชิบไม่รุ่นเท่านั้นที่รองรับ โดย Galaxy A8 ทั้ง 2 รุ่นก็มาพร้อมใช้งานทันทีสำหรับใครที่มีแพคเกจ Next G อยู่แล้ว
อีกฟีเจอร์เด่นของ Galaxy A8 และ A8+ คือตัวเครื่องกันน้ำ-ฝุ่นในระดับ IP68 (อยู่รอดในน้ำลึกไม่เกิน 1.5 เมตร นานไม่เกิน 30 นาที) ช่วยให้เราสามารถถ่ายรูปสวยๆได้แม้ท่ามกลางสายฝน หรือในสระน้ำ
พร้อมสนับสนุนบริการ Samsung Pay สามารถแชทได้พร้อมกัน 2 บัญชี มีฟีเจอร์ Secure Folder สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญ และติดตั้งเซ็นเซอร์ต่างๆ มาให้ครบครันทั้ง Gyro Sensor, Accelerometer, Barometer, Geomagnetic Sensor, Hall Sensor, Proximity Sensor และ RGB Light Sensor
Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางก็จริง แต่ก็อยู่ในตำแหน่งที่เกือบจะถึงระดับเรือธง ทั้งการออกแบบ และสเปก จะแตกต่างจาก Galaxy S8 series ก็ด้วยเทคโนโลยีบางอย่าง เช่น กล้องดิจิตอลของ Galaxy A8 และ A8+ (2018) ไม่ได้ใช้ Dual Pixel, ปุ่มโฮมบนหน้าจอก็ไม่มี Pressure Sensor ประเภทความจุในตัวเป็นแบบ eMMC ซึ่งทำงานช้าว่า UFS 2.1 ที่ใช้ในเรือธง อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมว่า นี่คือ Galaxy A series ไม่ใช่ Galaxy S series จึงไม่สามารถใส่เทคโนโลยีมาให้แบบเดียวกับเรือธง เพื่อทำราคาให้ถูกลงนั่นเอง
ดังนั้น Galaxy A8 และ A8+ (2018) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนเรือธง แต่ราคาถูกกว่า ซึ่ง Galaxy A8 และ A8+ (2018) ก็ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้อง การเล่นเกม ท่องโลกอินเตอร์เน็ต และโซเชี่ยล อีกทั้งจอแสดงผลก็มีขนาดใหญ่ จึงสามารถรับชมวีดีโอออนไลน์ได้อย่างสบายตา
Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) วางจำหน่ายในราคา 15,990 บาท และ 18,990 บาท ตามลำดับ ความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้คือ ขนาดจอแสดงผล กับความจำ ในราคาที่ห่างกัน 3,000 บาท คุณต้องเลือกระหว่าง สมาร์ทโฟนที่พกพาสะดวก ขนาดหน้าจอกำลังพอดี กับอีกรุ่นที่ให้แรมมาถึง 6GB รอม 64GB แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ปิดท้ายด้วยตัวอย่างภาพถ่ายจาก Galaxy A8 และ Galaxy A8+ ที่ไม่มีการปรับแต่งใดๆอีกเช่นเคยเพียงแค่ย่อขนาดภาพลงมาเท่านั้น ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
บทความโดย – www.flashfly.net