Asus เปิดตัว Zenfone 5 และ Zenfone 5z ที่งาน Mobile World Congress 2018 โดยมีดีไซน์ที่คล้ายกับ iPhone X อย่างชัดเจน และ Asus ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด “บางคนอาจจะบอกว่าเราลอกเลียน Apple แต่เราไม่สามารถหนีจากสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ คุณต้องไปตามกระแส” Marcel Campos หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Asus ได้กล่าวเอาไว้
เมื่อเทียบกับ Zenfone 4 ที่ออกมาในปีที่แล้ว Zenfone 5 และ 5z ได้พัฒนาให้จอแสดงผลมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 6.2 นิ้ว ขณะที่ขนาดบอดี้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนที่ใช้จอแสดงผล 5.5 นิ้ว โดยมีขอบจอบางลงทำให้อัตราส่วน screen-to-body สูงถึง 90% มาพร้อมเทคโนโลยี AI Display ช่วยปรับอุณหภูมิสีโดยอัตโนมัติ และตรวจจับสายตาผู้ใช้งานว่ากำลังจ้องมองจอแสดงผลอยู่หรือไม่ เพื่อไม่ให้จอแสดงผลดับลงตามเวลาพักหน้าจอที่กำหนดไว้
จอแสดงผลของ Zenfone 5 และ 5z มีความละเอียด 2246 x 1080 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 19:9 คล้ายกับ Galaxy S8 Plus หรือ Galaxy S9 Plus แต่ใช้จอแสดงผล LCD แตกต่างจากเรือธงของ Samsung ที่เป็น OLED และชัดเจนว่าขอบจอด้านบนทีรอยบากเหมือนกับ iPhone X มาพร้อม ZenUI 5 เพื่อแสดงไอคอนหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่มุมบนซ้ายและขวา
Asus Zenfone 5 และ 5z ยังมีระบบปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า คล้ายกับ Face ID แต่ไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนเหมือนกับ iPhone X อย่างไรก็ตาม Zenfone 5 และ 5z ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ที่แผงหลังด้วย อีกฟีเจอร์ที่ Zenfone 5 เหมือนกับ iPhone X ก็คือ ZeniMoji ที่มีรูปแบบการใช้งานคล้ายกับ Animoji
Asus Zenfone 5 และ 5z ใช้ดีไซน์ร่วมกัน แต่สเปกภายในแตกต่างกัน Zenfone 5 ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 636 ความจำ RAM 4GB หรือ 6GB จับคู่กับ ROM 64GB ขณะที่ Zenfone 5z มากับชิปรุ่นใหม่ Snapdragon 845 ความจำสูงสุด RAM 8GB พร้อมด้วย ROM สูงสุด 256GB
ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่กล้องคู่ด้านหลัง Zenfone 5 และ 5z ใช้กล้อง 12 ล้านพิกเซล (Sony IMX363) รูรับแสง f/1.8 ลดภาพสั่นไหวด้วย OIS ขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน มุมกว้าง 83 องศา พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel PDAF ทำงานคู่กับกล้อง 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 120 องศา ซึ่งกล้องรองช่วยให้ Zenfone 5 และ 5z สามารถ่ายภาพใน Portrait Mode แต่เว็บไซต์ The Verge บอกว่ายังไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก นอกจากนี้ ยังมี AI มาช่วยในการตรวจจับฉากหลัง เพื่อช่วยปรับค่ากล้องด้วย
Asus พยายามนำเทคโนโลยี AI มาใช้กัยฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งแต่จอแสดงผล, กล้อง, เสียงเรียกเข้า และยังมี AI boost ซึ่งคล้ายกับการเร่งความเร็วในการใช้แอพ รวมถึง AI charging สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ในเวลากลางคืน
จุดเด่นสุดท้ายที่ The Verge เขียนถึงก็คือ ลำโพง ให้เสียงดังมากและชัดเจน และสนับสนุน AptX HD หรือ LDAC สำหรับใช้งานผ่านหูฟัง Bluetooth คุณภาพสูง นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ที่หาไม่ได้ใน iPhone X
ที่มา – The Verge
http://www.flashfly.net/wp/?p=210686