ต้อนรับต้นปีด้วยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Meizu ซึ่งได้เปิดตัว Pro 7 และ Pro 7 Plus ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2017 ก่อนจะเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ดังนั้น วันนี้พร้อมแล้วที่จะให้แฟนๆ ขาวไทยได้สัมผัสตัวจริงของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เพราะมี 2 หน้าจอ
สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ Meizu เราขอพูดถึงแบบพอสังเขปว่า บริษัท Meizu ก่อตั้งมานานกว่า 15 ปีแล้ว เราเคยได้ยินว่า Meizu ทำเครื่องเล่นเพลงพกพามาก่อน ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในปี 2008 จนกระทั่งปี 2015 กลุ่มบริษัท Alibaba ก็ขอเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ทำให้บริษัท Meizu ในปัจจุบันมีสถานะที่แข็งแกร่งพอสมควร
Meizu Pro 7 Plus เป็นรุ่นไฮเอนด์ที่มีสเปกเหนือกว่ารุ่น Pro 7 ที่เปิดตัวพร้อมกัน แต่ทั้ง 2 รุ่นใช้ดีไซน์แบบเดียวกัน แตกต่างกันที่ขนาด และใช้วัสดุคุณภาพเหมือนกัน โดยวัสดุหลักเป็นอลูมิเนียม และโดดเด่นตรงที่มีจอแสดงผลด้านหลัง
จอแสดงผลด้านหลังติดตั้งอยู่ใต้กล้องคู่ Meizu เรียกว่าจอแสดงผล Fenêtre ซึ่งใช้จอสัมผัส AMOLED (240 x 536 พิกเซล) กว้าง 1.9 นิ้ว มีความพิเศษตรงที่สามารถแสดงภาพจากกล้องหลังได้ นั่นหมายถึงผู้ใช้งาน สามารถถ่ายเซลฟี่ได้ด้วยกล้องด้านหลัง ซึ่งแน่นอนว่าจะได้ภาพที่ความคมชัดกว่ากล้องด้านหน้า
จอแสดงผล Fenêtre ยังแสดงวัน-เวลา อุณหภูมิ และสามารถเลื่อนไปด้านข้าง เพื่อดูฟีเจอร์อื่นๆ ได้ เช่น รายงานสภาพอากาศ, นับจำนวนการก้าวเท้า เป็นต้น รวมถึงใช้เป็นทางลัดเข้าสู่โหมดถ่ายภาพของกล้องด้านหลังได้ทันที เพียงลากนิ้วลง อีกทั้งยังสนับสนุนฟีเจอร์แตะ 2 ครั้ง เพื่อปลุกหน้าจอ Fenêtre
จอแสดงผลหลัก เป็นแบบ Super AMOLED ความละเอียด 2K Quad HD (2560 x 1440 พิกเซล) ขนาด 5.7 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 16:9 ยังไม่ใช้ 18:9 เหมือนสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เนื่องจากเปิดตัวมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่า Meizu อาจจะเริ่มออกแบบและพัฒนามาก่อนปี 2017
เหนือจอแสดงผลเป็นตำแหน่งของลำโพงหูฟัง และกล้องเซลฟี่ 16 ล้านพิกเซล รวมถึงใช้วีดีโอคอล
ใต้จอแสดงผลมีปุ่มโฮมที่ฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย เรียกว่า mTouch สามารถจดจำได้ 5 ลายนิ้วมือ ให้ความแม่นยำด้วยการสแกนแบบ 360 องศา ปุ่มโฮมสามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือ สัมผัสหรือแตะเพื่อย้อนกลับ หรือกดลงไปเพื่อกลับสู่หน้าจอโฮม
ด้านบนจะพบกับรูไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับลดเสียงรบกวน
ช่องเชื่อมต่อทั้งหมด ถูกรวมไว้อยู่ที่ด้านล่าง ซึ่งประกอบไปด้วยช่องเสียบแจ๊คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ต USB Type-C และ ลำโพง
ด้านข้างมีช่องเสียบซิมการ์ด โดยรองรับ 2 ซิมการ์ดแบบ Nano-SIM ทั้ง 2 ช่อง อยู่ในถาดเดียวกัน
อีกข้างมีปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเพาเวอร์ ขอบด้านข้างมีความบางเพียง 7.3 มิลลิเมตร
แผงหลังจะพบกับกล้องคู่ 12 + 12 ล้านพิกเซล แฟลช และจอแสดงผล Fenêtre
Meizu Pro 7 Plus ทำงานบนพื้นฐาน Android Nougat สวมทับด้วยระบบปฏิบัติการ Flyme 6 นั่นหมายถึงคุณสามารถใช้งานได้เหมือนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ทั่วไป รองรับบริการของ Google แต่การแสดงผลถูกปรับให้สวยงาม ไม่มี App Drawer
สามารถปัดหน้าจอไปด้านข้างเพื่อดูแอพพลิเคชั่นทั้งหมด ปรับแต่งธีมได้ โดยมีไอคอนเข้าสู่การดาวน์โหลดธีมโดยเฉพาะ และมี App Store ของตัวเองแยกจาก Google Play ซึ่งคัดเลือกแอพพลิเคชั่นหรือเกมที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว หรือจะดาวน์โหลดจาก Google Play ก็ทำได้เช่นกัน
ด้านขุมพลัง Meizu Pro 7 Plus เลือกใช้ชิปประมวลผล MediaTek Helio X30 2.6GHz Deca Core ความจำ RAM 6GB ความจุในตัวให้มาสูงสุด 128GB แบบ UFS 2.1 และยังมีชิปเสียง Cirrus Logic CS43130 ให้เสียงที่ชัดเจนเป็นธรรมชาติ และมีความผิดเพี้ยนน้อยที่สุด
ทางด้านการเล่นเกมก็มาพร้อม Game Mode ช่วยป้องกันการรบกวนจากการแจ้งเตือนต่างๆ ยกเว้นสายเรียกเข้าและนาฬิกาปลุก
กล้องดิจิตอลตัวหลักเป็นแบบเลนส์คู่ 12 + 12 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ของ Sony IMX386 ขนาดรูรับแสง f/2.0 ระบบออโต้โฟกัสแบบ PDAF มีเอฟเฟค Bokeh สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (สามารถปรับโพกัสภายหลังได้) และโหมดถ่ายภาพในโทนสีขาวดำ บันทึกวีดีโอ 4K (3840 x 2160 พิกเซล) 30 เฟรมต่อวินาที
ส่วนกล้องเซลฟี่ 16 ล้านพิกเซล ประกอบด้วยชุดเลนส์ 5 ชิ้น ขนาดรูรับแสง f/2.0 ให้คุณภาพในระดับน่าพอใจ ไม่ว่าจะถ่ายเซลฟี่ในตอนกลางวันหรือกลางคืน พร้อมซอฟต์แวร์ช่วยปรับผิวหน้าให้ดูดีขึ้น แต่ถ้าต้องการถ่ายเซลฟี่แบบละลายฉากหลังพร้อมโหมดบิวตี้สวยๆต้องใช้กล้องคู่ด้านหลังเท่านั้น
Meizu Pro 7 Plus มากับความจุแบตเตอรี่ 3,500 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว mCharge 4.0 ผ่านพอร์ต USB Type-C ซึ่ง Meizu อ้างว่าสามารถชาร์จได้ถึง 45% ในเวลา 30 นาที และแถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 24W มาให้ในกล่อง
โดยรวมแล้ว Meizu Pro 7 Plus เป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่มีราคาต่ำกว่าแบรนด์ดังหลายเจ้า มีจุดเด่นที่จอแสดงผล Fenêtre ช่วยให้คุณใช้กล้องหลังถ่ายเซลฟี่ได้อย่างถนัด มีความจุในตัวสูงถึง 64GB แถมเป็นแบบ UFS 2.1 ที่มีความเร็วในการอ่านหรือเขียนดีกว่า eMMC 5.1 ที่ใช้ในรุ่นน้องอย่าง Pro 7 สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ครบครัน ด้วยชิปประมวลผล MediaTek Helio X30 ขณะที่คู่แข่งส่วนใหญ่เลือกใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 835 แต่ด้วยราคาเปิดตัว 18,990 บาท ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ใครที่สนใจไปจับจองได้ที่ร้าน CSC Shop ใกล้บ้านกันได้
บทความโดย – www.flashfly.net