ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Apple ถูกกล่าวหาว่า มีการจำกัดประสิทธิภาพของ iPhone รุ่นเก่า เมื่อพบว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ iPhone เหล่านั้นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และล่าสุด Apple ได้ออกมาชี้แจงถึงข้อกล่าวหานั้นแล้ว
การกล่าวหาดังกล่าวเริ่มมาจาก TeckFire สมาชิกเว็บไซต์ Reddit ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์ยอดนิยม ได้พบว่า iPhone 6s ของตัวเองทำงานช้าลง เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 6 Plus จึงได้ลองเปลี่ยนแบตเตอรี่ และก็พบว่า iPhone ของตัวเองกลับมาทำงานเร็วอีกครั้ง โดยมีผลทดสอบจาก Geekbench เป็นหลักฐาน
จากนั้น John Poole ผู้ก่อตั้ง Primate Labs เจ้าของแอพพลิเคชั่น Geekbench ก็ได้ทำการศึกษาว่าข้อสันนิษฐานของ TeckFire มีความเป็นไปได้หรือไม่ และผลจากการวิจัยก็พบว่า Apple มีแนวโน้มที่จะอัพเกรดเวอร์ชั่นใหม่ๆ ของ iOS โดยแอบจำกัดประสิทธิภาพการทำงาน เมื่อพบว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ หรือมีอายุการใช้งานที่น้อยลง
ประเด็นนี้ทำให้หลายคนเชื่อว่า Apple ตั้งใจให้ iPhone รุ่นเก่าทำงานช้าลง เพื่อเป็นการบีบบังคับทางอ้อมให้พวกเขาซื้อ iPhone รุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ Lithium-ion เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่ง Apple หรือผู้ผลิตแบตเตอรี่ ไม่สามารถทำอะไรได้
ดังนั้น Apple จึงพยายามพัฒนาซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการจัดการพลังงาน เพื่อยืดอายุการใช้งานของ iPhone และแบตเตอรี่ให้ยาวนานที่สุด Apple ยอมรับว่า iPhone ที่ใช้แบตเตอรี่เก่า อาจทำให้ประสิทธิภาพช้าลง แต่การใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาจัดการพลังงาน ไม่ได้เป็นความตั้งใจให้ iPhone ทำงานช้าลง จนเหมือนบีบบังคับให้เจ้าของ iPhone ต้องซื้อรุ่นใหม่
“เป้าหมายของเรา คือ มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพโดยรวม และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ แบตเตอรี่ Lithium-ion เมื่อสูญเสียความจุหรือเริ่มเสื่อมสภาพ จะไม่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอ เมื่อเวลาผ่านไปอาจส่งผลให้อุปกรณ์ปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ เพื่อเป็นการปกป้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อปีที่แล้ว เราได้ปล่อยซอฟต์แวร์สำหรับ iPhone 6, iPhone 6 และ iPhone SE เพื่อทำให้อุปกรณ์เหล่านี้ชะลอตัวลง เมื่อการทำงานกำลังขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุด โดยมีเป้าหมายป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ และเรากำลังขยายคุณสมบัตินี้ไปสู่ iPhone 7 ใน iOS 11.2 และจะนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคตด้วย”
อธิบายง่ายๆ iPhone รุ่นเก่า แบตเตอรี่เก่า เมื่อชิปประมวลผลต้องทำงานหนักมากๆ อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถจ่ายไฟให้เพียงพอ Apple จึงได้ปล่อยซอฟต์แวร์ออกมาควบคุมการทำงานของชิปประมวลผลไม้ให้ทำงานหนักจนเกินกำลังแบตเตอรี่ เพราะถ้าไม่ควบคุมก็จะส่งผลให้ iPhone ปิดตัวลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งนี้ Apple มีนโยบายการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ชัดเจน โดยระบุว่าแบตเตอรี่ของ iPhone จะรักษาความจุได้ 80% เมื่อวงจรการชาร์จครบ 500 รอบ (วิธีตรวจสอบจำนวนรอบ) และหลังจากนั้นแบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งเจ้าของ iPhone สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ฟรี!! กรณีที่มี AppleCare+ หรืออยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน
สำหรับเจ้าของ iPhone ที่หมดประกันไปแล้ว สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่กับ Apple ได้ โดยเสียค่าบริการ 79 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 2,600 บาท ไม่รวมค่าจัดส่ง
นอกจากนี้ Apple ยังมีระบบแจ้งเตือนเมื่อพบว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพจนส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/203392