Apple กับ VirnetX เผชิญหน้ากันในศาลมาหลายครั้งแล้วนับตั้งแต่ปี 2010 หลังจาก VirnetX ฟ้องว่า Apple ได้ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับ FaceTime และศาลเคยตัดสินให้ VirnetX เป็นฝ่ายชนะ แต่ Apple ก็ยังยื่นอุทธรณ์เรื่อยมา
ในวันนี้ (16 ตุลาคม 2017) VirnetX ได้ประกาศว่า ศาลแขวงสหรัฐประจำเขตตะวันออกของเท็กซัส มีการตัดสินครั้งสุดท้ายออกมาแล้ว โดยมีคำสั่งให้ Apple จ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 439.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 1.45 หมื่นล้านบาท
VirnetX เคยชนะคดีนี้มาแล้วในปี 2012 และศาลตัดสินให้ Apple ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวน 368.2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 1.21 หมื่นล้านบาท จากกรณีละเมิดสิทธิบัตรการใช้ FaceTime ผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ peer-to-peer แต่ทาง Apple ได้พยายามอุทธรณ์เรื่อยมาจากทำให้การต่อสู้ของทั้ง 2 บริษัทยาวนานถึง 7 ปี
ฟีเจอร์ FaceTime เริ่มถูกใช้งานในปี 2010 โดยการสื่อสารนั้นจะใช้วิธี peer-to-peer หรือเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง iPhone ทั้ง 2 เครื่อง อีกวิธีคือใช้ดาค้าเซิร์ฟเวอร์ของ Akamai แต่หลังจาก Apple ถูกฟ้องร้องเรื่องละเมิดสิทธิบัตรของ VirnetX จึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้บริการของ Akamai เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีต่อมา Apple ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Akamai เป็นจำนวน 50 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 1.75 พันล้านบาท เมื่อค่าใช้จ่ายในการให้บริการ FaceTime เพิ่มสูงขึ้น Apple จึงตัดสินใจพัฒนาเทคโนโลยี peer-to-peer ของตัวเองขึ้นมาและเปิดตัวพร้อมกับ iOS 7
อย่างไรก็ตาม Apple ยังไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายง่ายๆ และพยายามหาช่องทางสำหรับยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/?p=196653