Huawei เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Mate 10 อย่างทางการแล้ว มาพร้อมรุ่น Mate 10 Pro และรุ่นพิเศษ Mate 10 Porsche Design ซึ่งในงานเปิดตัว Huawei ได้เน้นไปที่การออกแบบ, ประสิทธิภาพ, การถ่ายภาพ และ ประสบการณ์การใช้งาน โดยทั้งหมดทีไฮไลท์ที่น่าสนใจดังนี้
การออกแบบ
Huawei Mate 10 และ Mate 10 Pro ใช้จอแสดงผล FullView Display ทำให้มีขอบจอบางเป็นพิเศษ Mate 10 มากับความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล ขนาด 5.9 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 16:9
Mate 10 Pro ใช้จอภาพ OLED ความละเอียด 2160 x 1080 พิกเซล ขนาด 6 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 18:9 และจอแสดงผลของทั้งคู่ยังสนับสนุน HDR10
เมื่อเทียบกับ iPhone X จะเห็นว่า Mate 10 และ Mate 10 Pro มีสัดส่วนของจอแสดงผลเมื่อเทียบกับขนาดบอดี้กว้างกว่า และเมื่อเทียบกับ iPhone 8 Plus จะเห็นมีขนาดบอดี้เล็กกว่าแม้จอแสดงผลใหญ่กว่า
พูดถึงขอบจอแสดงผล Huawei เลือกที่จะเปรียบเทียบกับ iPhone 8 Plus
เทคโนโลยียืนยันตัวตน Huawei ยังคงใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือ โดยอ้างว่าเป็นระบบปลดล็อคที่ง่ายกว่า iPhone X เพียงแตะนิ้วลงไปเท่านั้น และ Mate 10 สามารถปลดล็อคได้ในเวลา 0.33 วินาที ขณะที่ Face ID ของ iPhone X ต้องทำถึง 3 ขั้นตอน คือ ยกขึ้นมา, มองไปที่อุปกรณ์ และปัดหน้าจอ
Mate 10 วางเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้จอแสดงผล ส่วน Mate 10 Pro วางไว้ข้างหลังใต้กล้องดิจิตอล และเปรียบเทียบกับตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Samsung เพื่อให้เห็นว่าได้วางไว้ในตำแหน่งที่สะดวกในการใช้งานมากกว่า
Mate 10 Pro ยังออกแบบมาให้กันน้ำและฝุ่นละอองในระดับ IP67 ระดับเดียวกับ iPhone 8 หรือ iPhone X ส่วน Mate 10 อยู่ในระดับ IP53 ซึ่งป้องกันแค่ละอองน้ำเท่านั้น
Huawei Mate 10
Huawei Mate 10 Pro
Huawei Mate 10 Porsche Design
ประสิทธิภาพ
Mate 10 และ Mate 10 Pro มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Kirin 970 ซึ่งรวมเทคโนโลยี AI เอาไว้ในชิปด้วย เมื่อนำไปทดสอบการจดจำรูปภาพเทียบเทียบกับคู่แข่ง จะพบว่ามีความเร็วในการจดจำภาพไวกว่า 20 เท่า เมื่อเทียบกับ Galaxy Note 8 ที่ไม่ได้มี AI Engine ในชิปประมวลผล
การเชื่อมต่อไร้สายรองรับเทคโนโลยี 4X4 MIMO เครือข่าย 4.5G LTE และสนับสนุน 4G ทั้ง 2 ซิมการ์ด
ระบบนำทางก็มีความฉลาดเพิ่มมากขึ้น สามารถจับสัญญาณ GPS ได้อย่างแม่นยำ แม้วิ่งอยู่ในอุโมงค์ หรืออยู่บนถนนยกระดับที่ตัดผ่านกันหลายเส้น
แบตเตอรี่ 4000mAh ให้ความจุมากกว่า 48% เมื่อเทียบกับ iPhone X จัดการพลังงานได้ดีกว่า 30% เมื่อเทียบกับ Mate 9 ถึงแม้จะมีความจุ 4000mAh เท่ากันก็ตาม
ถึงความจุแบตเตอรี่จะใหญ่ แต่ก็รองรับการชาร์จเร็ว โดยชาร์จเร็วกว่า 50% เมื่อเทียบกับ iPhone 8 Plus สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 58% ในเวลา 30 นาที และชาร์จไร้สายได้เร็วขึ้น 4 เท่า
การถ่ายภาพ
Mate 10 และ Mate 10 Pro มาพร้อมกล้องคู่จาก Leica และยังนำ AI มาใช้ประโยชน์ในการถ่ายภาพด้วย อีกทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เลนส์คู่ f/1.6
AI จะช่วยให้กล้องของ Mate 10 จดจำวัตถุต่างๆ ที่จะถ่ายได้แลลเรียลไทม์ ซึ่งหมายถึงสมาร์ทโฟนรับรู้ว่าผู้ใช้งานกำลังจะถ่ายภาพอะไร และช่วยตั้งค่ากล้องให้อัตโนมัติ โดยจดจำวัตถุและฉากถึง 13 แบบ
ประสบการณ์การใช้งาน
Mate 10 และ Mate 10 Pro มาพร้อมระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด Android 8.0 Oreo พร้อม EMUI 8.0 รองรับ Dynamic Wallpaper หรือภาพพื้นหลังเคลื่อนไหวได้ ตัวอย่างเช่นภาพภูเขาที่กำลังมีหมอกควันปกคลุมและเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
Huawei ออกแบบ User Interface ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้กับจอแสดงผล FullView Display โดยเฉพาะ เพื่อใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่
รองรับฟีเจอร์แยกหน้าจอ ทำงาน 2 หน้าต่างพร้อมกัน
การจัดการไอคอนทางลัด รองรับการแตะค้างไว้เพื่อเปิดเมนูลัด
Mate 10 และ Mate 10 Pro ยังมี PC Mode เชื่อมต่อกับจอภาพ และคีย์บอร์ด เพื่อใช้งานแบบคอมพิวเตอร์ Desktop
ด้วยเทคโนโลยี AI ยังช่วยให้ Mate 10 สามารถแปลภาษาได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานได้แม้ออฟไลน์
ด้านคุณภาพเสียงรองรับระบบเสียง Hi-Res Audio ที่ให้คุณภาพดีกว่าแผ่น CD
Huawei จะเริ่มทำตลาด Mate 10 และ Mate 10 Pro ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดย Mate 10 มีราคาเริ่มต้น 699 ยูโร หรือราว 27,300 บาท และ Mate 10 Pro ราคาเริ่มต้น 799 ยูโร หรือราว 31,200 บาท (จะเห็นว่าประเทศไทยรวมอยู่ในกลุ่มแรกที่ Huawei จะนำเข้ามาวางจำหน่ายด้วย)