ผ่านพ้นไปแล้วกับงาน Apple Special Event เปิดตัวผลิตภันฑ์รุ่นใหม่ในช่วงปลายปีซึ่งไม่พ้น iPhone รุ่นใหม่ที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยที่ซานฟรานซิสโกเป็นประจำทุกปี โดยในครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งก่อนๆเพราะเป็นครั้งแรกที่ Apple ได้เปิดให้บุคคลภายนอกหรือเหล่าสื่อมวลชนทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศภายนอกบริเวณของ Apple Park แคมปัสรูปวงแหวนซึ่งอาคารหลักมีพื้นที่ 2.8 ล้านตารางฟุตประกอบไปด้วยแผงกระจกโค้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในอาคารที่ประหยัดพลังงานมากที่สุดในโลกอีกด้วย
และสถานที่จัดงานคือโรงละคร Steve Jobs Theater ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดภายใน Apple Park เปิดให้กองทัพสื่อมวลชนได้เยี่ยมชมเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้มีโอกาศเข้ามาเยี่ยมชมเป็นอย่างมาก
รวมทั้งทีมงาน @flashfly ที่ได้ถูกทาง Apple เชิญให้เข้าร่วมงานครั้งสำคัญอีกครั้งโดยบริเวณที่จัดงานจะอยู่ลงใต้ดินของ Steve Jobs Theater ซึ่งด้านในจะเป็นโรงละครจุได้ถึง 1000 ที่นั่งมีโครงสร้างเป็นกระบอกแก้วสูง 20 ฟุต กว้าง 165 ฟิตรองรับหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์โลหะ ซึ่งก่อนงานจะเริ่ม Tim Cook ซีอีโอคนปัจจุบันได้ขึ้นกล่าวรำลึกถึง Steve Jobs อดีตซีอีโอและเป็นบุคคลคนสำคัญที่พลิกโฉมโลกไปตลอดกาล ได้ถ่ายทอด DNA สายเลือดความเป็น Apple ส่งต่อไปถึงพนักงานทุกคนในปัจจุบัน
โดยภายในงาน Apple ได้เปิดตัวผลิตภันฑ์ใหม่ออกมาแบบจัดเต็มนั่นก็คือนาฬิกา Apple Watch Series 3 ที่มาพร้อมระบบเซลลูลาร์ในตัวสามารถโทรศัพท์ได้จากข้อมือโดยไม่ต้องเพิ่งพา iPhone อีกต่อไป ตามมาด้วย Apple TV 4K รุ่นใหม่ล่าสุดที่รองรับความละเอียดระดับ 4K และ High Dynamic Range (HDR) จนถึงช่วงเวลาที่รอคอยกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่เปลี่ยนไปใช้วัสดุเป็นกระจกเพื่อให้รองรับการชาร์จไร้สาย
และสุดท้ายกับเซอร์ไพร์ที่ทุกคนรอคอยกับการเปิดตัว iPhone X หรือ iPhone 10 รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone (ไอโฟนเทน)โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่หมด ไม่มี Touch ID และ ปุ่ม Home อีกต่อไป ซึ่งทางทีมงาน @flashfly ที่ถือได้ว่าเป็นตัวแทนสื่อไทยกลุ่มแรกที่ได้สัมผัสและทดลองใช้งานตัวเครื่องจริงในงานเป็นที่เรียบร้อย ตามมาดูกันได้เลยว่าจะน่าสนใจขนาดไหน
มาเริ่มกันที่ Apple Watch Series 3 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางได้ Apple เพิ่มเพิ่มระบบเซลลูลาร์เข้ามา สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้จากข้อมือโดยไม่ต้องเพิ่งพา iPhone อีกต่อไป แถมยังเป็นหมายเลขเดียวกับ iPhone ที่เราใช้งานอีกด้วยเพราะฉนั้นรายชื่อเบอร์สำคัญต่างๆมาครบหมดแน่นอนระบบจะสลับไปใช้เซลลูลาร์ทันทีเมื่ออยู่ห่างจาก iPhone ซึ่งในครั้งนี้ Apple ได้ดีไซน์เสาอากาศแบบใหม่ที่ใช้จอภาพเป็นตัวรับส่งสัญญาณ LTE และ UMTS ทำงานร่วมกับ eSIM ที่มีขนาดเล็กกว่าซิมการ์ดปกติถึง 100 เท่าที่ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยในตัวเรือนเท่านั้น ทำให้ Apple Watch Series 3 มีขนาดเท่ากับ Apple Watch Series 2 ได้
โดย Apple Watch Series 3 มีสองรุ่นด้วยกัน มีรุ่นแรกที่มาพร้อม GPS และระบบเซลลูลาร์ และอีกรุ่นหนึ่งที่มาพร้อม GPS เพียงอย่างเดียว ใช้โปรเซสเซอร์แบบ Dual-core ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 70% และชิพไร้สาย W2 ใหม่ โดยสิ่งที่พิเศษในรุ่น Apple Watch Series 3 เซลลูลาร์ คือจะมีจะ Digital Crown หรือเม็ดมะยมสีแดงและหน้าปัดนาฬิกา Explorer ที่แสดงการเชื่อมต่อระบบเซลลูลาร์ให้เห็นชัดเจน
และด้วยการที่ Apple Watch Series 3 สามารถใช้งานเซลลูลาร์ได้ทำให้รองรับการสตรีมเพลงจาก Apple Music ทั้ง 40 ล้านเพลงได้โดยตรงจากข้อมือได้ รวมถึงสถานีวิทยุต่างๆบน Apple Music ได้แม้จะไม่มี iPhone หรือ Wi-Fi อีกด้วย แถมยังทำให้ Siri สามารถคุยกับเราแบบมีเสียงบนข้อได้แล้วเช่นเดียว สำหรับใน watchOS 4 ก็ได้มีการอัพเดทแอพอัตราการเต้นของหัวใจใหม่ให้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น ทั้งการวัดระหว่างการพัก การออกกำลังกาย การฟื้นตัว การเดิน และขณะใช้แอพหายใจเป็นต้น
ภายในงาน Apple ยังได้เปิดตัวสาย Apple Watch ใหม่ๆ พร้อมกับ Apple Watch Edition ตัวเรือนเซรามิคสีเทาเข้มใหม่อีกด้วย Apple Watch Nike+ รุ่นใหม่ก็มารวมถึงรุ่นสุดหรู Apple Watch Hermès ก็มาคู่กับคอลเลกชั่นสายแบบใหม่
Apple Watch Series 3 จะเปิดจองในที่ 15 กันยายนเป็นต้นไปราคาเริ่มต้นที่ 11,900 บาท และจะวางจำหน่ายทางการในวันที่ 22 กันยายนในกลุ่มประเทศแรก นอกจากนี้ Apple ยังได้ลดราคา Apple Watch Series 1 ลงอีกด้วย ส่วน Apple Watch Series 2 นั้นจะไม่มีจำหน่ายแล้ว
มาต่อกันที่ iPhone รุ่นใหม่ของปีนี้กันบ้างหลังจากที่มีข่าวลือยาวนานมาตลอดทั้งปีในที่สุด Apple ก็ได้ข้ามรุ่น iPhone 7s และ iPhone 7s Plus ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยประกาศเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus อย่างเป็นทางการ ดีไซน์โดยรวมจะคล้ายๆกับรุ่นก่อนหน้าแต่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเปลี่ยนดีไซน์วัดุใหม่หมดใช้กระจกและอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ
ชิปเซ็ต A11 Bionic ชิพที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนของ Apple ใช้ซีพียูแบบ 6 คอร์ มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมถึง 70% กราฟิกให้เร็วขึ้นอีกถึง 30% เหมาะการเล่นเกม AR กราฟิกที่ลื่นไหลระดับ 60fps บน iPhone ได้สมจริงสุดๆ
จอภาพ Retina HD ใหม่ขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone ที่ช่วยปรับสีบนหน้าจอให้เป็นธรรมชาติเหมือนกำลังดูแผ่นกระดาษจริงๆแบบเดียวกับบน iPad Pro แถมลำโพงสเตอริโอได้รับการออกแบบใหม่มีเสียงดังขึ้น 25% พร้อมเสียงเบสที่ทุ้มลึกกว่าเดิม
iPhone 8 ใช้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ดีกว่าเดิม พร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นและไวขึ้น ฟิลเตอร์สีแบบใหม่ และพิกเซลที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ออโต้โฟกัสได้เร็วขึ้นในสภาพแสงน้อย และถ่ายภาพ HDR ได้ดีขึ้น ทางด้านแฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวงก็ออกแบบใหม่มาพร้อมคุณสมบัติสโลว์ซิงค์ช่วยให้ภาพมีความสว่างพอดีทั้งฉากหลังและฉากหน้า
และเฉพาะ iPhone 8 Plus ที่มาพร้อมกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ยังโดดเด่นด้วยการถ่ายภาพ Portrait Mode และโหมดการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล Portrait Lighting ใหม่ล่าสุด สามารถปรับเอฟเฟ็กต์ระยะชัดตื้นในสไตล์การจัดแสงที่แตกต่างกัน 5 แบบ ทั้ง 2 รุ่นถ่ายวิดีโอระดับ 4K สูงสุด 60fps และสโลว์โมชั่นแบบ 1080p สูงสุด 240fps
ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus รองรับการชาร์จไร้สายแล้ว สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของ Qi ซึ่งรวมถึงแผ่นรองชาร์จไร้สายแบบใหม่สองรุ่นจาก Belkin และ mophie นอกจากนี้ในงาน Apple ยังได้เปิดตัว AirPower อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สายที่สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้นทั้งตัวเครื่อง iPhone 8 ,Apple Watch และ AirPods มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2018
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มี 3 สีใหม่ให้เลือก ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และสีทอง ตัวผิวกระจกผ่านกระบวนการลงหมึกถึง 7 ชั้น ทำให้สามารถแสดงเฉดสีและความทึบแสงได้อย่างแม่นยำอีกทั้งยังคงกันน้ำกันฝุ่นตามมาตราฐานระดับ IP67 มี 2 ความจุให้เลือกคือ 64GB และ 256GB เปิดจองในที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป วางจำหน่าย 22 กันยายนนี้เฉพาะในกลุ่มประเทศแรก ราคาเริ่มต้นที่ $699 หรือราว 23,100 บาท
โดยภายในงาน Apple ยังได้ประกาศวันปล่อยอัพเดท iOS 11,watchOS 4 และ tvOS 4 ตัวเต็มให้ผู้ใช้งานทั่วโลกได้อัพเดทพร้อมกันในวันที่ 19 กันยายนนี้หรือวันที่ 20 กันยายนในประเทศไทย
เซอร์ไพร์หลังจากที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ไปเรียบร้อยแล้ว ก็ตามมาด้วย iPhone X (อ่านว่าไอโฟนเทน) รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone ที่มาพร้อมกับดีไซน์ตัวเครื่องใหม่หมดไร้กรอบทั้ง 4 ด้าน ด้วยกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
และไม่มีปุ่ม Home และ Touch ID อีกต่อไปแล้ว โดย Apple เคลมว่าเป็นกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน
จอภาพโค้งรับกับดีไซน์แบบโค้งไปจนจรดมุมมนทั้งสี่อย่างสวยงามลงตัว ขอบสแตลเลสสตีลด้านข้างเป็นเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรมสวยงาม มีให้เลือกในสีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ ใช้ชิป A11 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
ซึ่ง Apple ให้นิยามกับ iPhone X ว่าเป็นสมาร์ทโฟนแห่งอนาคตเพราะอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆมากมายมากกว่า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้าทั้งจอภาพ Super Retina ขนาด 5.8 นิ้วแบบ OLED ถ่ายทอดสีสันได้สวยงามและแม่นยำ แสดงสีดำได้ดำสนิท มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ 1,000,000 ต่อ 1 รองรับขอบเขตสีแบบกว้างรองรับ HDR ทั้ง Dolby Vision และ HDR10 และยังมีเทคโนโลยี่ True Tone ที่เพิ่มเข้ามายังช่วยปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับแสงรอบๆ อยู่ตลอดเวลาทำให้อ่านสบายตา
แทนที่ปุ่มโฮมด้วยการขยับนิ้วสั่งการที่รวดเร็วและลื่นไหล สามาถใช้งาน iPhone X ได้อย่างสุดแสนง่ายดายเพียงแค่ปัดขึ้นจากด้านล่างก็สามารถไปที่หน้าจอโฮมได้จากทุกที่
Face ID ระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่ปลอดภัยที่สุดบน iPhone X โดยใช้ระบบกล้อง TrueDepth ในการฉายจุดแสงสร้างแผนผังโครงสร้างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากว่า 30,000 จุด และรู้จำใบหน้าอย่างแม่นยำเพื่อให้ผู้ใช้ปลดล็อค iPhone อย่างปลอดภัย แถมยังสามารถจดจำรูปลักษณ์ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาอีกด้วย โดย Face ID จะปลดล็อค iPhone X ก็ต่อเมื่อมองที่เครื่องเท่านั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลอกโดยใช้รูปถ่ายหรือหน้ากาก
กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซลใหม่สามารถถ่าย Portrait Mode ได้หรือที่เรียกว่า Portrait Mode Selfies รวมถึงการแต่งแสงในภาพถ่าย Portrait Lighting ได้อีกด้วย
 ทางด้านกล้องดิจิตอลด้านหลังของ iPhone X นั้นเป็นกล้องเลนส์คู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ออกแบบใหม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ทั้ง 2 เลนส์โดยกล้องมุมกว้างมีรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ส่วนกล้องเทเลโฟโต้มีรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น ƒ/2.4 ถ่ายรูปและวิดีโอได้สวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟิลเตอร์สีแบบใหม่ พิกเซลที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น สามารถบันทึกภาพด้วยขอบเขตสีกว้าง ออโต้โฟกัสในสภาพแสงน้อยได้เร็วขึ้น และถ่ายภาพ HDR ได้สวยขึ้นด้วย ถัดมาคือแฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวงใหม่พร้อมด้วยคุณสมบัติสโลว์ซิงค์ จึงทำให้ภาพมีความสว่างสม่ำเสมอยิ่งขึ้นทั้งในฉากหลังและฉากหน้า
กล้อง iPhone X สามารถถ่ายวิดีโอระดับ 4K สูงสุด 60fps และสโลว์โมชั่นแบบ 1080p สูงสุด 240fps รองรับการใช้งาน AR ในระดับสูงมีไจโรสโคปพร้อมด้วยอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบใหม่ที่แม่นยำ กราฟิก AR ที่ลื่นไหลระดับ 60fps
โหมดภาพถ่ายบุคคลหรือ Portrait Mode พร้อมคุณสมบัติการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล Portrait Lighting ของทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเป็นการนำเอฟเฟ็กต์แสงระดับสตูดิโอมาสู่ iPhone X ช่วยให้สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้สวยงามด้วยเอฟเฟ็กต์ระยะชัดตื้นในสไตล์การจัดแสงที่แตกต่างกัน 5 แบบ
ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับอิโมจิด้วย Animoji ที่มีเฉพาะบน iPhone X เท่านั้นด้วยกล้องหน้า TrueDepth จะทำงานร่วมกับชิพ A11 Bionic เพื่อบันทึกและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบ แล้วจำลองการแสดงออกทางใบหน้าเหล่านั้นบน Animoji ที่เคลื่อนไหวได้ 12 แบบ เช่น แพนด้า ยูนิคอร์น และหุ่นยนต์ โดยสามารถบันทึกเสียงของตนเอง และยังสามารถยิ้ม ขมวดคิ้วและส่งข้อความ Animoji ไปหาเพื่อนได้ด้วยแอพ iMessage
iPhone X รองรับการชาร์จไร้สายแบบเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
โดย iPhone X ความจุ 64GB และ 256GB ให้เลือก มีให้เลือก 2 สีได้แก่เงินฝาหลังสีขาวและสีเทาสเปซเกรย์ฝาหลังสีดสามารถสั่งซื้อ iPhone X ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคมนี้ในกลุ่มประเทศแรกต่อจากวางจำหน่าย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ไปทั่วโลก และจะวางจำหน่ายทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายนเป็นต้นไปราคาเริ่มต้นที่ $999 หรือราว 33,000 บาท
 และนี่คือทั้งหมดภายในงาน Apple Special Event ที่จัดขึ้นที่โรละคร Steve Jobs Theater ภายในบริเวณของ Apple Park หรือที่หลายคนเรียกชื่อว่ายานแม่นั่นเอง ซึ่งในการร่วมงานครั้งนี้ทีมงาน @flashfly ก็ได้มีโอกาศสัมผัสทั้ง iPhone X รวมถึง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus อีกด้วยจะนำมารีวิวให้ชมตามมาเร็วๆนี้ ติดตามกันได้เลย
บทความโดย – www.flashfly.net