เหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อคืนนี้ (12 กันยายน 2017) ถือเป็นครั้งแรกที่ Apple ได้เปิดตัว iPhone พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X นับตั้งแต่ปี 2014 ที่ Apple เปิดตัว iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus กลายเป็นว่ารุ่น Plus เป็นเหมือน iPhone ระดับเรือธง จนมาถึงปีล่าสุดนี้ ที่ iPhone 8 Plus ไม่ได้อยู่ระดับบนสุดแล้ว เพราะมี iPhone X ออกมาด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ล้วนใช้ชิป A11 Bionic สนับสนุนการชาร์จไร้สาย มีความจุในตัวเท่ากัน (64GB/256GB) กันน้ำและละอองฝุ่นระดับเดียวกัน (IP67) แต่แน่นอนว่าต้องมีบางอย่างที่ทำให้ iPhone X อยู่เหนือกว่า และเราได้สรุปมาให้แล้ว กับ 7 ฟีเจอร์ที่มีเฉพาะใน iPhone X เท่านั้น
จอแสดงผล OLED พร้อม HDR
ถึงแม้ iPhone ทั้ง 3 รุ่น จะสนับสนุน HDR10 และ Dolby Vision แต่ iPhone X เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ใช้จอแสดงผล HDR อย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยี OLED ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1 จึงมีความคมชัดสูงกว่า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่มีอัตราส่วนคอนทราสต์ 1,400:1 และ 1,300:1 ตามลำดับ นอกจากนี้ จอแสดงผล OLED ที่ Apple เรียกว่า Super Retina HD ยังให้สีดำที่ดำสนิท ด้วยการปิดพิกเซล ทำให้ประหยัดพลังงานกว่าจอแสดงผล LCD ของ iPhone 8
แบตเตอรี่ที่ทีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
Apple ไม่ได้ระบุออกมาเป็นตัวเลขของขนาดแบตเตอรี่ แต่บอกคร่าวๆ ว่า iPhone X ให้พลังงานได้ยาวนานขึ้น 2 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone 7 ขณะที่ iPhone 8 ให้พลังงานใกล้เคียงกับ iPhone 7 และ iPhone 8 Plus ให้พลังงานใกล้เคียงกับ iPhone 7 Plus นั่นหมายถึงแบตเตอรี่ของ iPhone 8 กับ iPhone 8 Plus อาจไม่ได้พัฒนาไปจากรุ่นก่อน
Apple ระบุว่า iPhone X กับ iPhone 8 Plus สามารถใช้สนทนาได้นานสูงสุด 21 ชั่วโมงเท่ากัน ส่วน iPhone 8 สูงสุด 14 ชั่วโมง การใช้งานอินเตอร์เน็ต iPhone X กับ iPhone 8 ให้พลังงานนานสูงสุด 12 ชั่วโมงเท่ากัน ส่วน iPhone 8 Plus สูงสุด 13 ชั่วโมง ดูวีดีโอบน iPhone X กับ iPhone 8 ได้นานสูงสุด 13 ชั่วโมง ส่วน iPhone 8 Plus สูงสุด 14 ชั่วโมง ฟังเพลงบน iPhone X กับ iPhone 8 Plus นานสูงสุด 60 ชั่วโมง ส่วน iPhone 8 สูงสุด 40 ชั่วโมง
ถึงแม้ระยะเวลาตามสเปกที่ Apple ระบุไว้ ไม่ได้บอกว่า iPhone X มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าอีก 2 รุ่น แต่ด้วยจอแสดงผล OLED เจ้าของ iPhone ยังมีวิธีประหยัดแบตเตอรี่ได้ดีกว่า ด้วยการใช้วอลเปเปอร์ที่เป็นรูปภาพสีดำ และใช้โหมดกลางคืนในบางแอพพลิเคชั่น
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS แบบคู่
ถ้าพูดถึงเรื่องกล้องใน iPhone รุ่นใหม่ เราอาจจะตัด iPhone 8 ออกไปก่อนได้เลย เพราะชัดเจนว่ามากับกล้องแบบเลนส์เดียว ถึงแม้จะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากันก็ตาม แต่อีก 2 รุ่น มาพร้อมกล้องคู่
ตามสเปกแล้ว iPhone X กับ iPhone 8 Plus ใช้กล้องมุมกว้างคู่กับกล้องเทเลโฟโต้ และมีคุณสมบัติที่เหมือนกันทุกประการ แต่ iPhone X เหนือกว่าที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS แบบคู่ ส่วน iPhone 8 ใช้ OIS เพียงตัวเดียว นอกจากนี้ ขนาดรูรับแสงกล้องเทเลโฟโต้ของ iPhone X ยังกว้างกว่าเล็กน้อย
Face ID
เป็นฟีเจอร์ที่พบได้เฉพาะ iPhone X เท่านั้น เพราะใช้ประโยชน์จากกล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้า พร้อมด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่รวมไว้ในรอยบาก (ขอบบนของจอแสดงผล) กล้อง TrueDepth ประกอบไปด้วยกล้องอินฟราเรดสำหรับจับภาพใบหน้า อิลลูมิเนเตอร์มุมกว้างทำให้เห็นใบหน้าแม้อยู่ในที่มืด และ ตัวฉายจุดแสง (Dot Projector) ช่วยจับโครงสร้างใบหน้ามากกว่า 30,000 จุด จึงมั่นใจได้ว่า ระบบจดจำใบหน้าของ iPhone X จะรับรู้โครงสร้างใบหน้าของผู้ใช้งานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
สาเหตุที่ Apple พัฒนาระบบกล้อง TrueDepth ขึ้นมา ก็เนื่องมาจากได้ตัดสินใจออกแบบ iPhone X ให้เน้นพื้นที่จอแสดงผลเป็นพิเศษ และเพื่อลดพื้นที่ขอบจอให้ได้มากที่สุด จึงจำเป็นต้องตัดปุ่มโฮมทิ้งไป ทำให้ Touch ID ก็ถูกลบออกไปด้วย และแทนที่ด้วย Face ID โดยใช้กล้อง TrueDepth ในการจดจำใบหน้าเจ้าของ iPhone
Face ID ฉลาดพอที่จะรู้ว่า เมื่อไรที่เจ้าของต้องการปลดล็อค โดยจะปลดล็อคได้ก็ต่อเมื่อเจ้าของ iPhone ลืมตาเท่านั้น และยังช่วยเปิดแสงสว่างของจอแสดงผลค้างไว้ตราบเท่าที่ผู้ใช้งานจ้องมองอยู่ รวมทั้งใช้ลดระดับเสียงของนาฬิกาปลุกกับเสียงเรียกเข้าได้อีกด้วย
ถ่ายภาพ Portrait ด้วยกล้องหน้า
ปกติแล้วโหมด Portrait จะใช้ได้เฉพาะกล้องด้านหลังของ iPhone 7 Plus, iPhone 8 Plus และ iPhone X เท่านั้น แต่ iPhone X ก็ยังสามารถใช้กล้องด้านหน้า ถ่ายภาพโหมด Portrait ได้ด้วย (Apple เรียกว่า Portrait Mode Selfies) โดยอาศัยคุณสมบัติของกล้อง TrueDepth
ถ่ายภาพ Portrait Lighting ด้วยกล้องหน้า
เพิ่มเติมจากฟีเจอร์ Portrait Mode Selfies กล้องหน้าของ iPhone X ยังมีฟีเจอร์ Portrait Lighting หรือการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล โดยใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์สภาพแสงที่กระทบลงบนใบหน้า แล้วช่วยสร้างเอฟเฟ็กต์เพื่อจัดแสงให้เหมาะสม ทำให้ภาพถ่ายใบหน้าของคุณออกมาดูดีเหมือนมีช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายให้
Animoji
กล้อง TrueDepth ของ iPhone X ถูกนำมาใช้ประโยชน์จนเกิดฟีเจอร์ใหม่ที่หาไม่ได้จาก iPhone รุ่นอื่น นั่นคือ Animoji รูปภาพใบหน้าตัวละครน่ารักทั้ง 12 แบบ ที่สามารถแสดงสีหน้าตามใบหน้าของคุณได้ จากการใช้กล้อง TrueDepth ตรวจจับกล้ามเนื้อบนใบหน้ากว่า 50 รูปแบบ วิธีใช้งานให้เริ่มจากเลือก Animoji ที่ต้องการจาก 12 รูปแบบ แล้วก็บันทึกเสียงพร้อมแสดงออกทางสีหน้า เสร็จแล้วก็แชร์ออกไปให้เพื่อนๆ ได้ทันทีผ่านแอพข้อความ
ที่มา – CNET
http://www.flashfly.net/wp/?p=193363