ใกล้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยกันเต็มทีแล้ว กับสมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นใหม่ Samsung Galaxy Note 8 ซึ่งกำหนดการก็คือวันที่ 20 เดือนกันยายนนี้นั่นเอง แฟนๆ อดใจรออีกไม่นาน โดยก่อนหน้านี้ทางทีมงาน Flashfly ก็ได้มีพรีวิวตัวเครื่องให้ได้รับชมกันไปบางส่วนแล้ว (สัมผัสแรก Samsung Galaxy Note 8 จอใหญ่ 6.3 นิ้ว กล้องคู่ 12 ล้านพิกเซลพร้อมปากกา S Pen สุดอัจฉริยะ) คราวนี้ก็จะมาเจาะลึกในส่วนของฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เหลืออยู่กันต่อ ตามมาดูกันได้เลยว่ามีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง
เริ่มต้นด้วยดีไซน์ของตัวเครื่องซักหน่อย ด้วยความโค้งมนของขอบและมุมต่างๆ ทำให้สามารถจับตัวเครื่อง Galaxy Note 8 ได้กระชับมือ แม้ตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม และยังคงกันน้ำกันฝุ่นตามมตราฐาน IP68
หน้าจอเป็นแบบ Infinite Display ไร้กรอบไร้ปุ่ม Home ขนาด 6.3 นิ้ว (Quad HD+ Super AMOLED) โดยสัดส่วนพื้นที่หน้าจอนี้คิดเป็นพื้นที่ถึง 83.3% ของขนาดตัวเครื่องเลยทีเดียว กว้างมากๆ
กล้องด้านหน้ามีความละเอียด 8 ล้านพิกเซลแบบออโต้โฟกัส F/1.7 พร้อมเซ็นเซอร์สแกนใบหน้า และสแกนม่านตา
ด้านล่างจะเป็นปุ่ม Home แบบดิจิตอล แต่เวลากดจะมีแรงสั่นคล้ายกับกดปุ่มจริงๆ เหมือนใน Galaxy S8
พลิกมาดูด้านหลังนี่คือจุดเด่นของ Galaxy Note 8 ที่มาพร้อมกล้องคู่ Wide-angle และ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเป็นครั้งแรก ส่วนเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือได้มีการจัดวางในตำแหน่งที่ห่างจากตัวกล้องมากขึ้นไม่ติดกันเหมือนใน Galaxy S8 แล้ว โดยมีไฟแฟลชมาคั่นระหว่างกลาง
ด้านซ้ายตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่มลดเสียงถัดลงมาจะเป็นปุ่มใช้งาน Bixby เลขาส่วนตัวที่จะคอยค้นหาข้อมูลต่างๆ ให้คุณ
ด้านขวาจะมีปุ่ม Power ใช้สำหรับเปิดเครื่องและล็อคหน้าจอ
มาดูด้านบนจะมีช่องใส่ SIM และ Micro SD รองรับสูงสุด 256GB ซึ่งรวมกับตัวเครื่องแล้วจะมีความจุสูงถึง 320GB
ส่วนด้านล่างจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ช่องสายชาร์จแบบ USB Type-C ลำโพงและที่เก็บปากกา S Pen
การใช้งาน S Pen ง่ายมากแค่กดลงไปเบาๆ ปากกาก็พร้อมใช้งานแล้ว
โฉมหน้าปากกา S Pen ที่ได้การพัฒนาปรับปรุงใหม่หมด ปลายปากกามีขนาดเล็กเพียง 0.7 มม. วัสดุเปลี่ยนเป็นยางแข็งแทนพลาสติกช่วยลดเสียงดังเวลาขีดเขียน แถมยังรองรับแรงกดได้ 4,096 ระดับ ใช้งานได้เหมือนปากกาจริงมากยิ่งขึ้น ตัวปุ่มกดที่อยู่บน S Pen มีปรับตำแหน่งขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้กดได้สะดวกกว่าเดิม
ตัวปากกา S Pen มีน้ำหนักเพียง 3 กรัมเท่านั้น แถมยังกันน้ำกันฝุ่นตามมาตราฐาน IP68 แบบเดียวกับตัวเครื่องด้วย มือเปียกน้ำก็สามารถจดโน้ตได้อย่างสบาย ส่วนท้ายของ S Pen เป็นปุ่มสปริงสามารถกดเล่นได้ ให้ความรู้สึกเหมือนปากกาจริง เชื่อว่าหลายคนเวลาคิดอะไรเพลินๆ ต้องเคยกดเล่นกันอย่างแน่นอน เรียกว่าทาง Samsung เอาใจใส่ผู้ใช้งานจริงๆ
เมื่อดึงปากกาออกก็จะพบกับเมนู Air Command สำหรับใช้งานกับปากกา S Pen ซึ่งได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Live Message, Coloring, Glance และ Magnify เพิ่มเติมเข้ามา
ฟีเจอร์เด่นก็คือ Live Message ที่สามารถส่งข้อความหาเพื่อนด้วยการเขียนข้อความในรูปแบบอนิเมชั่น มีให้เลือกลายเส้นได้หลายแบบทั้งลายเส้นธรรมดาและแบบวิ๊งๆ ทำให้การส่งข้อความหากันไม่ดูน่าเบื่อแถมยังสามารถแนบภาพสวยๆ ไปกับข้อความพร้อมๆ กันเลยก็ได้
ตัว Screen Off Memo สำหรับใช้งานปากกา S Pen ตอนที่เครื่องล็อคหน้าจออยู่ก็ได้มีการอัพเกรดขึ้นเช่นกัน ตอนนี้สามารถรองรับการจดโน้ตได้ถึง 100 หน้าแล้ว และเพียงแค่นำ S Pen มาใกล้หน้าจอแล้วกดปุ่มบนด้ามก็สามารถใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องเสียบปากกากลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่อีกเหมือนรุ่นก่อนหน้า ส่วนการลบคำผิดก็แค่กดปุ่มตรงด้ามแล้วลากลบได้ตามสะดวกเลย
หน้าจอ EDGE Screen ยังคงมีมาให้ใช้งานใน Galaxy Note 8 นี้ด้วยโดยการปัดนิ้วจากขอบจอมาด้านซ้ายมือ ซึ่งการทำงานโดยรวมๆ จะคล้ายกับ Galaxy S8 เป็นทางลัดสำหรับเข้าถึงแอพต่างๆ ได้เร็วขึ้น สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานหน้าจอไหนบ้างโดยกดที่ปุ่มตั้งค่าทางด้านล่าง
มาดูในส่วนของการเล่นเกมกันบ้าง ด้วยความกว้างของหน้าจอแบบ 18.5:9 ช่วยให้แสดงผลได้อย่างเต็มตา เต็มพื้นที่กว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ
ทดสอบด้วยการเล่นเกม ROV แบบปรับกราฟฟิกทุกอย่างเต็มที่ทั้งหมด บอกได้เลยว่าลื่นมากๆ แม้ขนาดช่วงดวลกันรุมใส่สกิลที่หลายคนชอบบ่นว่าแลคๆ Galaxy Note 8 ผ่านได้อย่างสบาย แต่ถ้าเล่นติดต่อกันนานๆ ตัวเครื่องก็ออกอาการร้อนนิดๆ อยู่เหมือนกัน
ลองทดสอบกับเกมแข่งรถอย่าง Need for Speed No Limits ก็ทำเฟรมเรตได้ดี แสดงผลกราฟฟิกออกมาได้คมมาก สามารถซิ่งเล่นได้แบบไหลลื่นกันเลยล่ะ
โดยรวมแล้ว Galaxy Note 8 สามารถเล่นเกมกราฟฟิกหนักๆ ได้อย่างสบาย จะเรียกว่าสเปคสมกับเป็นแฟลกชิปก็คงจะไม่ผิดนัก แถมหน้าจอยังเอื่อต่อการเล่นเกมอีกด้วย น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน
Galaxy Note 8 หน้าจอความละเอียดอยู่ที่ 2960 x 1440 คมชัดขนาดนี้นอกเหนือจากการเล่นเกมแล้วก็ต้องดูหนังนี่ล่ะ ทดสอบด้วยแอพ AIS Play เปิด HBO Go ดูซีรีส์ยอดฮิต Game of Thrones ก็ทำออกมารองรับหน้าจอ 18.5:9 เรียบร้อยแล้ว สามารถอ่านซับไทยได้อย่างชัดเจน
โดยรวมถือว่าโอเคเลยภาพเต็มตาดี แสดงผลได้คมชัดแม้จะเป็นซีนที่มีฉากมืดมากๆ แต่สำหรับการดูผ่าน YouTube บางวีดีโอคลิปจะเป็นขนาด 16:9 ทำให้ภาพที่ได้ไม่เต็มจอ ถึงตัวเครื่องจะมีระบบปรับอัตราส่วนแบบเต็มจอให้ก็จะเป็นการครอปภาพบนล่างออกทำให้รายละเอียดบางส่วนของภาพขาดหายไปแทน
มาเข้าเรื่องกล้องคู่ดูโอ้ 12 ล้านพิกเซล Wide-angle และ Telephoto กันบ้าง โดยเลนส์ Wide-angle ค่า F/1.7 (เลนส์ด้านขวา) จะใช้สำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง จริงๆ แล้วก็คือกล้องหลักของสมาร์ทโฟนทั่วไปนี่แหละ และเลนส์ Telephoto ค่า F/2.4 (เลนส์ด้านซ้าย) จะใช้สำหรับถ่ายภาพมุมแคบหรือก็คือเลนส์ซูมแบบ Optical นั่นเอง ซึ่งจะมีระยะซูมเมื่อเทียบกับกล้องหลักประมาณ 2 เท่าด้วยกัน โดยทั้ง 2 กล้องมีระบบ OIS ลดการสั่นไหวมาให้ในตัวทำให้เวลาถ่ายภาพทั้งแบบปกติและการซูมคมชัดยิ่งขึ้น
หน้าตา UI ของโหมดกล้องใน Galaxy Note 8 ยังคงคล้ายกับ Galaxy S8 สามารถเลือกใช้งานโหมดกล้องต่างๆ ที่มีอยู่ด้วยการลากนิ้วจากขอบจอด้านซ้ายมาทางขวา ส่วนที่มีเพิ่มเติมเข้ามาก็คือปุ่ม X2 สำหรับสลับไปใช้งานกล้อง Telephoto เพื่อซูมและโหมดใหม่ที่ชื่อว่า “โฟกัสตามเวลาจริง” หรือ “Live Focus” เอาไว้สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอนั่นเอง
วิธีใช้งานโหมด Live Focus ให้แตะที่เมนูให้เป็นสีเหลืองเพื่อเปิดใช้งาน จากนั้นก็ต้องขยับกล้องให้ได้ระยะจนหน้าจอขึ้นคำว่า “โฟกัสตามเวลาจริงพร้อมใช้งาน” หรือ “Live Focus Available” เสียก่อน เท่านี้ก็พร้อมถ่ายภาพแบบละลายพื้นหลังแล้วล่ะ
หลังจากถ่ายภาพเรียบร้อยยังสามารถนำภาพกลับมาปรับความเบลอของพื้นหลังได้ตามต้องการอีกด้วย
นอกจากการเบลอพื้นหลังแล้วโหมด Live Focus ยังมีฟีเจอร์ Dual Capture ที่จะทำการถ่ายภาพ 2 แบบทั้งภาพมุมแคบและภาพมุมกว้างในการกดชัตเตอร์ครั้งเดียวด้วย สังเกตได้จากไอคอนสี่เหลี่ยมซ้อนกันตามภาพจะเป็นการเปิดใช้งาน Dual Capture
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมด Live Focus และ Dual Capture
จะเห็นได้ว่าพื้นหลังละลายได้พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็มาจากกล้องคู่ซึ่งจะช่วยดึงจุดเด่นในภาพให้ดูเด่นชัดยิ่งขึ้น ชอบตรงที่หลอดดูดน้ำไม่ละลายไปกับพื้นหลังด้วย ทำให้รู้เลยว่าตัวกล้องนั้นมีความฉลาดพอสมควรเลย ส่วน Dual Capture ก็ช่วยให้ได้ภาพในมุมกว้างที่บางครั้งเราอาจจะมองข้ามไปหรือคิดไม่ถึง เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีทีเดียว
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมด X2
เอาจริงๆ โหมดนี้ก็ถ่ายได้สนุกมากเพราะเราไม่จำเป็นต้องซูมเท้ากันอีกต่อไป อยากถ่ายภาพนักร้องบนเวทีก็สามารถกดที่ปุ่ม X2 เพื่อสลับไปใช้งานกล้อง Telephoto ได้โดยที่ Quality ของภาพแทบไม่ดรอปลงไปเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมด Auto
การถ่ายภาพในโหมด Auto นั้นยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยค่ารูรับแสงของเลนส์ Wide-angle อยู่ที่ F/1.7 ช่วยให้ถ่ายภาพในทีแสงน้อยได้ดีทีเดียว เก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบายหยิบขึ้นมาก็แชะถ่ายภาพได้ทันที ทางลัดที่จะช่วยให้เข้าโหมดกล้องถ่ายรูปได้ง่ายขึ้นก็คือการกดที่ปุ่ม Power สองครั้ง รับรองว่าพก Galaxy Note 8 ติดตัวไว้จะไม่พลาดทุกช็อตเด็ดอย่างแน่นอน
สำหรับใครที่กังวลเรื่องหน้าจอโค้งของ Galaxy Note 8 ว่าจะติดฟิล์มกันรอยลำบาก (ถึงจะเป็น Gorilla Glass 5 ก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้) แนะนำเป็น Focus Super Glass 3D Full Frame Tempered Glass กระจกกันรอยที่ดีไซน์ออกมารองรับกับหน้าจอโค้งโดยเฉพาะ มีความยืดหยุ่นป้องกันแรงกระแทกได้ดี ช่วยให้หน้าจอคงทนแข็งแรงทัชลื่นไม่มีสะดุด แถมยังช่วยคงความสวยงามให้ตัวเครื่องอีกด้วย
จากการทดสอบใช้งานมาได้ซักพักบอกเลยว่า Galaxy Note 8 สมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง Samsung นี้ต้องกลับมาเป็นสมุดโน้ตอัจฉริยะที่ได้รับความนิยมอีกครั้งอย่างแน่นอน เป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก Galaxy S8 และ Galaxy S8+ ได้อย่างสวยงาม และที่สำคัญมาพร้อมกับกล้องคู่เป็นครั้งแรกอีกด้วย เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยก็ยังคงดีเยี่ยมเช่นเคย มีทั้งระบบสแกนใบหน้า ระบบสแกนม่านตา และระบบสแกนนิ้วมือ ด้าน S Pen ก็ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิมมาก รับรองว่าจะสามารถตอบโจทย์คนที่เป็นแฟน Galaxy Note ซีรีส์อยู่แล้วได้เป็นอย่างดีและน่าจะดึงดูด User กลุ่มใหม่ที่ชอบการถ่ายภาพหรือการจดบันทึกเพิ่มเติมได้อีกด้วย สำหรับตอนนี้เปิดให้จับจองกันเป็นที่เรียบร้อย สนนราคาตัวเครื่องอยู่ที่ 33,900 บาท
บทความโดย – mintflashfly