หลังจากที่ HMD Global ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia เข้ามาทำตลาดในช่วงครึ่งปีแรกพร้อมกันทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยทั้ง 3 รุ่นได้แก่ Nokia 3,Nokia 5 และ Nokia 6 ซึ่งโดดเด่นด้วยระบบปฎิบัติการ Pure Android เวอร์ชั่นล่าสุดจาก Google ที่จะได้อัพเดทก่อนใครในตลาดอย่างแน่นอนทุกรุ่นซึ่งทาง HMD Global ยืนยันว่ารองรับ Android 8.0 ที่จะได้รับการอัพเดทภายในปีนี้ทุกรุ่นไปจนถึง Android P ในปีหน้าเลยทีเดียว นอกจากจะมีระบบปฎิบัติการที่ใหม่ล่าสุดแล้ว ยังมาพร้อมดีไซน์และวัสดุแบบพรีเมี่ยมสวยงามในราคาประหยัดเริ่มต้นไม่กี่พันบาทโดยทีมงาน @flashfly จะมารีวิวพร้อมๆกันทั้ง 3 รุ่นเลยว่าแต่ละรุ่นมีอะไรที่น่าสนใจอย่างไรกันบ้าง

Nokia 3 สมาร์ทโฟนระดับล่าง ดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม
มาเริ่มกันที่น้องเล็กสุดคือ Nokia 3 ที่ถูกวางอยู่ในตลาดล่างสุด แต่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามไม่แพ้ Nokia 5 และ 6 ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน รวมทั้งวัสดุที่นำมาใช้ก็มีคุณภาพ และมาพร้อมคุณสมบัติที่ครบครัน ตอบสนองการใช้งานทั่วไปได้อย่างสบาย

ถึงจะเป็นสมาร์ทโฟนระดับล่าง แต่ Nokia 3 ก็ถูกประกอบขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ โดยใช้กรอบอลูมิเนียมขอบบาง 8.48 มิลลิเมตร ส่วนแผงหลังเป็นโพลีคาร์บอเนต

แผงหน้าจอได้รับการป้องกันด้วยกระจก 2.5D Corning Gorilla Glass ดีไซน์โดยรวมแล้วยังให้ความรู้สึกถึง Lumia ซึ่งเป็นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง Nokia

Nokia 3 ใช้จอแสดงผล IPS ให้มุมมองกว้างชัดเจน ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล ขนาด 5 นิ้ว รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยมีถาดใส่ซิมอยู่ด้านข้าง และแยกถาดวางการ์ด microSD ไว้อีกช่อง ไม่ต้องไปแย่งกันใส่กับซิมที่สอง โดยสนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 128GB

ไมโครโฟนติดตั้งมาให้ 2 ตัว ตัวบนที่อยู่ใกล้ช่องเสียบแจ๊คหูฟัง ใช้สำหรับลดเสียงรบกวนรอบข้าง ส่วนตัวหลักอยู่ด้านล่าง ไม่ไกลจากพอร์ต Micro-USB และลำโพง ส่วนแบตเตอรี่ฝังไว้ภายใน มีความจุ 2,630mAh

Nokia 3 มากับชิปประมวลผล MediaTek MT6737 ความจำ RAM 2GB จับคู่กับ ROM 16GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat แบบเพียวแอนดรอยด์ Google ปล่อยมาอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น ซึ่งหลายคนชื่นชอบเพราะไม่หนักทรัพยากรเครื่อง และสามารถอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ได้รวดเร็วกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มีการสร้าง UI ของตัวเองสวมทับ ที่สำคัญก็คือ มีข่าวว่า Nokia 3 ก็จะได้รับการอัพเดทเป็น Android 8.0 Oreo เหมือนกับรุ่นพี่ในค่ายด้วย

Nokia 3 ติดตั้งกล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.12 ไมครอน รูรับแสง F2.0 มีระบบออโต้โฟกัส พร้อมแฟลช LED ถ่ายวีดีโอในระดับ HD 720p

กล้องเซลฟี่ 8 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกับกล้องตัวหลัก และใช้เลนส์มุมกว้าง 84 องศา

Nokia 3 ยังรองรับเครือข่าย 4G LTE ระบบเชื่อมต่อและเซ็นเซอร์ต่างๆ ค่อนข้างครบครัน ดังนั้นจึงตอบสนองการใช้งานทั่วไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นท่องเว็บ ดูหนัง วีดีโอสตรีมมิ่ง ถ่ายรูป เล่นโซเชี่ยล แผนที่นำทาง ส่วนการเล่นเกมนั้นต้องบอกไว้ก่อนว่า Nokia 3 ไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาใจเกมเมอร์ แต่ด้วยชิป 1.3GHz Quad Core บวกกับความจำ RAM 2GB ก็พอเล่นเกมได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น Super Mario Run หรือ Asphalt 8: Airborne แต่ถ้าจะเน้นเกมจริงๆ แนะนำให้เลือก Nokia 6 หรือรอ Nokia 8 ซึ่งแน่นอนว่าราคาไม่ได้ถูกแบบนี้

สรุปแล้วคุณสมบัติที่มีอยู่ใน Nokia 3 เมื่อเทียบกับราคาเปิดตัว 4,850 บาท ก็ต้องถือว่าสมเหตุสมผลในชุดจำหน่ายช่วงนี้แถมเคสใสให้อีก 1 อันฟรีๆด้วย

Nokia 5 ดีไซน์สวย ขนาดเหมาะมือ สวยงามด้วยอลูมิเนียมไร้รอยต่อ
ดูเหมือนการกลับมาในครั้งนี้ของ Nokia จะใส่ใจในเรื่องการออกแบบเป็นพิเศษ เราไม่ได้จะบอกว่ามันสวยงามขนาดไหน เพราะเรื่องความสวยงามมันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน เราเพียงจะบอกว่า Nokia รุ่นใหม่ ภายใต้บ้านใหม่ของ HMD Global ยังนำความทรงจำที่คุ้นเคยใน Lumia กลับมาให้เห็นกันอีกครั้งกับ Nokia 5 รวมถึงคุณภาพของวัสดุและงานประกอบ
Nokia 5 ผลิตด้วยวัสดุอลูมิเนียมแบบไร้รอยต่อ แบบเดียวกับที่พบใน Nokia 6 แต่จะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกัน ที่ชัดเจนก็คือเส้นเสาอากาศ Nokia 5 ทำได้เรียบเนียนกว่า เพราะฝังไว้กับส่วนขอบบนและขอบล่าง ขณะที่ Nokia 6 จะพาดไว้ที่ขอบด้านหลังเป็นรูปตัว U

ขนาดจอแสดงผลของ Nokia 5 จะเล็กกว่า Nokia 6 โดยใช้จอ IPS ความละเอียด HD 720p ขนาด 5.2 นิ้ว ครอบทับด้วยกระจก 2.5D Corning Gorilla Glass ใต้หน้าจอมีปุ่มโฮมแบบสัมผัส และฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้วย

ลำโพงหูฟังที่วางอยู่เหนือจอแสดงผล ทำหน้าที่ฟังเสียงสนทนา แตกต่างจาก Nokia 6 ที่สามารถขับเสียงออกมาเป็นลำโพงคู่กับ ลำโพงตัวหลักที่ด้านล่างได้ อย่างไรก็ตาม ลำโพงของ Nokia 5 ที่อยู่ด้านล่างนั้นก็ให้เสียงดังในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ส่วนไมโครโฟนก็มีทั้งตัวหลักที่อยู่ด้านล่าง และตัวที่สองอยู่เหนือกล้องด้านหลัง ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง

ขอบด้านข้างจะพบกับถาดใส่การ์ด 2 ช่อง โดยช่องบนสำหรับวางการ์ด MicroSD รองรับขนาดสูงสุด 128GB ช่องล่างสำหรับวางซิมการ์ด ขนาดนาโนทั้ง 2 ซิม ซึ่งดีกว่าสมาร์ทโฟนบางรุ่นที่รองรับ 2 ซิมการ์ดแบบไฮบริด เพราะต้องเลือกว่าจะใส่ซิมที่สองหรือการ์ด microSD อย่างใดอย่างหนึ่ง

ช่องเสียบหูฟัง ขนาดแจ๊ค 3.5 มิลลิเมตร ยังมีมาให้ที่ด้านบน ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อที่อยู่ด้านล่างยังเป็น Micro USB (USB 2.0) และสนับสนุน USB OTG

ด้านการเชื่อมต่อ Nokia 5 รองรับเครือข่าย 4G LTE Cat. 4 พร้อม VoLTE สำหรับการสนทนาบนความคมชัดสูง สนับสนุนการเชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth 4.1, NFC เซ็นเซอร์ต่างๆ ก็ให้มาครบครัน โดยเฉพาะเซ็นเซอร์ที่มีความสำคัญอย่างไจโรสโคป และเข็มทิศดิจิตอล

กล้องตัวหลักให้มา 13 ล้านพิกเซล ระบบโฟกัส PDAF รูรับแสง F2.0 ขนาดพิกเซล 1.12 ไมโครเมตร มีโหมด Manual สำหรับปรับค่ากล้องอย่างละเอียด พร้อมแฟลช LED แบบทูโทน กล้องเซลฟี่ 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 84 องศา รูรับแสง F2.0 ขนาดพิกเซล 1.12 ไมโครเมตร ถ่ายวีดีโอในระดับ Full HD 1080p ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

Nokia 5 มากับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 430 64-bit Octa-Core ความจำ RAM 2GB จับคู่กับ ROM 16GB สนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 128GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android Nougat เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งทาง HMD Global ก็ขยันออกซอฟต์แวร์มาให้อัพเดทอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ

ซีพียูที่ Nokia 5 นำมาใช้เป็นตัวเดียวกับที่ฝังอยู่ใน Nokia 6 ถึงแม้จะไม่ใช่ชิปสเปกแรงของ Qualcomm แต่ก็สามารถเล่นเกมที่ใช้กราฟฟิค 3D ได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเกม ROV ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ Nokia 5 ก็สามารถเล่นได้ แต่ต้องย้ำว่า Nokia 5 ไม่ได้สร้างมาเพื่อเล่นเกมอย่างจริงจัง แต่ต้องบอกว่าพอเล่นได้

ดังนั้น การใช้งานทั่วไปไม่ว่าจะดูหนัง เล่นโซเชี่ยล ท่องเว็บ เล่นเกมเบาๆ จึงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน และสำหรับคนที่รักโนเกีย รักดีไซน์และคุณภาพของวัสดุ Nokia 5 สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ โดยแขวนป้ายราคาไว้ที่ 6,490 บาทแถมแผ่นกันรอยและซอฟท์เคสใสมาให้ในชุดจำหน่ายด้วยเช่นเดียวกัน

Nokia 6 รุ่นยอดฮิต จอใหญ่ ดีไซน์แฟลกชิป พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
สมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia กลับมาทำตลาดอีกครั้งในปีนี้ และได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ภายใต้การดูแลของ HMD Global บริษัทที่มีฐานอยู่ในประเทศฟินแลนด์บ้านเกิดของ Nokia และสมาร์ทโฟนที่เราหยิบมานำเสนอในครั้งนี้ เป็นรุ่นท็อปที่สุดของค่าย (ก่อนที่ Nokia 8 จะเปิดตัว) นั่นก็คือ Nokia 6 ซึ่งความจริงแล้ว Nokia 6 เปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ต้นปี แต่จำกัดการจำหน่ายเฉพาะในประเทศจีน ก่อนจะส่งโมเดลที่เป็นสากลหรือเวอร์ชั่นที่ทำตลาดไปทั่วโลกในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยเราก็เป็นตลาดที่ Nokia ยังให้ความสำคัญ และได้ส่งสมาร์ทโฟนเข้ามาว่าจำหน่ายครบทุกรุ่น

การกลับมาอีกครั้งของ Nokia โดยเฉพาะ Nokia 6 ต้องบอกเลยว่าไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องของดีไซน์ วัสดุ และการประกอบ ในส่วนของบอดี้ใช้วัสดุอลูมิเนียม

แผงด้านหน้าได้รับการป้องกันด้วยกระจก Corning Gorilla Glass มาพร้อมจอแสดงผล IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ขนาด 5.5 นิ้ว

และปุ่มโฮมใต้จอแสดงผล มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

การออกแบบภายนอกมีความน่าสนใจที่ลำโพงคู่ โดยเราจะเห็นว่ามีการติดตั้งไว้ที่ด้านล่าง 1 ตำแหน่ง ใกล้กับพอร์ต Micro USB ส่วนอีกตัวอยู่เหนือจอแสดงผลตำแหน่งเดียวกับหูฟังที่ใช้ฟังเสียงสนทนา
ไมโครโฟนก็ติดตั้งมาให้ 2 จุดเช่นกัน คือ ด้านล่างจะเป็นไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนาหรือบันทึกเสียง และอีกจุดอยู่ชิดขอบบน (เหนือกล้องด้านหลัง) ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง

Nokia 6 มากับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 430 ความจำของรุ่นนี้ใช้ RAM 3GB จับคู่กับ ROM 32GB รองรับการ์ด microSD สูงสุด 128GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat

โดยทาง HMD Global สัญญาว่าจะปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ออกมาให้อัพเดทอย่างสม่ำเสมอ และจะไม่ปล่อยให้เจ้าของอุปกรณ์ต้องรอนาน หลังจากที่ Google ปล่อยออกมา แน่นนอนว่าจะได้รับการอัพเดทเป็น Android 8.0 Oreo ด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นจุดแข็งของสมาร์ทโฟน Nokia ภายใต้ระบบปฏิบัติการ Android

กล้องดิจิตอลเป็นฟีเจอร์ที่เจ้าของสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ให้สำคัญ และ Nokia 6 ก็ใส่ใจเช่นกัน โดยให้กล้องตัวหลักมา 16 ล้านพิกเซล ขนาดเซ็นเซอร์ 1.12 ไมโครเมตร รูรับแสง F2.0

ส่วนกล้องเซลฟี่ 8 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้าง 84 องศา ขนาดเซ็นเซอร์ 1.12 ไมโครเมตร รูรับแสง F2.0 และติดตั้งแฟลช LED มาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และสามารถถ่ายวีดีโอในระดับ Full HD 1080p

Nokia 6 ยังมีจุดเด่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง Dolby Atmos รองรับเครือข่าย LTE พร้อม VoLTE สนับสนุนการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบไฮบริด เซ็นเซอร์ต่างๆ ค่อนข้างครบครัน และมากับแบตเตอรี่ 3,000mAh

Nokia 6 โดดเด่นที่วัสดุและงานประกอบมีคุณภาพ จอแสดงผลคมชัดขนาดใหญ่กำลังพอดี ดูหนัง ท่องเว็บ ได้เต็มอิ่ม อีกทั้งลำโพงกับระบบเสียงก็ทำออกมาได้ดี สมกับสโลแกน “ความบันเทิงอันล้ำสมัย” ส่วนชิปประมวลผลอาจยังไม่ถึงกับเป็นรุ่นกลางแต่ก็สามารถเล่นเกมที่ใช้กราฟฟิก 3D ได้น่าพอใจ

ทำให้ HMD Global สามารถแขวนป้ายราคาสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ไว้ที่ 7,990 บาท ยังคงแถมแผ่นกันรอยกับเคสใส่มาให้เช่นเดียวกับ Nokia 5 ดังนั้น ใครที่ต้องการสมาร์ทโฟนดีไซน์สวย เน้นใช้งานด้านความบันเทิง และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการอัพเดทซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็วทันใจ ควรเก็บไว้พิจารณา

และนี่คือรีวิวสมาร์ทโฟน 3 รุ่นแรกจากทาง Nokia ที่จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งในตลาดสมาร์ทโฟนโดยทาง HMD Global ยืนยันว่าสมาร์ทโฟน Nokia ทุกรุ่นที่ทำตลาดในปีนี้จะได้อัพเกรดเป็น Android 8.0 ภายในปีนี้ไปจนถึง Android P ในปีหน้าเลยทีเดียว โดยในรีวิวต่อไปใครที่รอรุ่นแฟลกชิปอย่าง Nokia 8 ที่ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายในบ้านเราอย่างเป็นทางการไปแล้ว เชิญติดตามกันได้เร็วๆนี้
บทความโดย – www.flashfly.net