แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) เผยรายได้ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ที่ 12.89 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.25 แสนล้านบาท) โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นำโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว โดยรายได้จากการดำเนินงานประจำไตรมาสนี้อยู่ที่ 588.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.94 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13.6 เปอร์เซ็นต์แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีสัดส่วนรายได้และรายได้จากการดำเนินงาน ประจำไตรมาสที่ 2 มากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 4.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.53 แสนล้านบาท) และ 412.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.36 หมื่นล้านบาท) ตามลำดับ ความสำเร็จในไตรมาสที่ 2 ยังรวมถึงยอดขายที่แข็งแกร่งในตลาดเกาหลี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนในปี 2559 ถึง 43 เปอร์เซ็นต์ เจ.ดี. พาวเวอร์ (J.D. Power) ยังได้ประกาศว่า “แอลจีได้รับรางวัลความพึงพอใจของผู้บริโภคในปี 2560 สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องครัวและเครื่องซักผ้าสูงกว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ” ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในแถบอเมริกาเหนือ ยุโรปและเอเชีย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น ตู้เย็น InstaView และเครื่องซักผ้า TWIN Wash จะช่วยให้ได้ส่วนต่างผลกำไรที่แข็งแกร่ง
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 303.80 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาท) จากรายได้ 3.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.24 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าความต้องการทีวีของตลาดทั่วโลกจะลดลง โดยยอดขายผลิตภัณฑ์ทีวีระดับพรีเมียม เช่น LG OLED TV และ LG SUPER UHD TV ประจำไตรมาสที่สองยังคงแข็งแกร่ง พร้อมด้วยการบริหารจัดการงบประมาณที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8.1 เปอร์เซ็นต์ คาดการณ์ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ทีวีระดับพรีเมียมของแอลจีจะยังคงแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ เผชิญกับความท้าทายในไตรมาสที่สอง โดยมีรายได้อยู่ที่ 2.39 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.89 หมื่นล้านบาท) และขาดทุนจากการดำเนินงานที่ 117.27 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.87 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นจำนวนแทบจะไม่เปลี่ยนจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากยอดขายสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมน้อยกว่าที่คาดไว้ รวมถึงต้นทุนชิ้นส่วนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดในทวีปอเมริกาเหนือยังคงแข็งแกร่ง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องด้วยยอดขายที่แข็งแกร่งจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้ การเปิดตัวของสมาร์ทโฟนรุ่น Q ซีรี่ส์ใหม่ และการเปิดตัวอุปกรณ์ดีไวซ์ระดับไฮเอนด์ที่จะมีขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งเสริมผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังได้
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงไตรมาสที่ 2 ด้วยยอดขาย 781.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.58 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2559 เป็นผลจากความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจเทเลเมติกส์และชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเชฟโรเลต โบลท์ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาไปเมื่อเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจใหม่ๆ เช่น ระบบควบคุมการขับขี่กึ่งอัตโนมัติ (Advanced Driving Assistance Systems หรือ ADAS) ส่งผลให้ขาดทุนจากการดำเนินงานที่ 14.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.79 ร้อยล้านบาท) ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ การลงทุนต่างๆ เหล่านี้เริ่มส่งผลลัพธ์ในเชิงบวก ซึ่งแอลจีเพิ่งประกาศความร่วมมือผลิตกล้องสำหรับระบบควบคุมการขับขี่กึ่งอัตโนมัติกับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำสัญชาติเยอรมัน คาดการณ์ว่าตลาดสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเป็นผลจากการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลต โบลต์ที่ขยายเพิ่มขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ รวมทั้งการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในทวีปยุโรป
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2560
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของแอลจี อีเลคทรอนิคส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 อยู่ที่ 33 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)