เป็นที่ทราบกันดีว่าผลิตภัณฑ์ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ หรือ แท็บเล็ตไปจนถึงเคส ถ้ามีโลโก้ Apple ติดอยู่ สิ่งแรกที่หลายคนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษนั่นก็คือราคา ถึงขนาดนักวิจารณ์บางคนเรียกว่าบริษัท Apple tax จนเกิดความคิดที่ในเชิงประชดว่า ผู้บริโภคยินดีจะจ่ายเงินแพงขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีโลโก้ Apple ติดอยู่
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน Apple มีความพยายามจะทำลายภาพลักษณ์นั้น ด้วยการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ ในขนาดจอแสดงผล 9.7 นิ้ว และเรียกความสนใจด้วยราคาเปิดตัวเพียง 329 ดอลล่าร์สหรัฐ (ในประเทศไทยมีราคาเริ่มต้น 12,500 บาท) ซึ่งถือเป็น iPad ที่มีราคาถูกที่สุด ขณะที่ iPad รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2010 มีราคาเริ่มต้น 499 ดอลล่าร์สหรัฐ
เราหวังว่า iPad รุ่นใหม่ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ Apple คิดใหม่ทำใหม่ ออกผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรามาย้อนประวัติศาสตร์ดูกันว่าผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่มีราคาสูงเกินเอื้อมมีอะไรบ้าง
Apple LISA คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีระบบ Graphical User Interface รองรับการใช้งานร่วมกับเม้าส์ เปิดตัวในปี 1985 ราคา 9,995 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ถ้าคำนวณเป็นราคาในปัจจุบัน จะสูงถึง 24,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
Twentieth Anniversary Macintosh หรือ TAM ออกมาในปี 1997 ถือเป็นต้นแบบของ iMac ด้วยดีไซน์บาง สวยงามทันสมัย และออกแนวล้ำยุค มาพร้อมค่าตัว 7,499 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือคำนวณเป็นราคาในปัจจุบัน จะอยู่ที่ 11,200 ดอลล่าร์สหรัฐ
Macintosh Portable เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกของค่ายในรูปแบบพกพา แต่น้ำหนักเทียบได้กับลูกโบว์ลิ่งขนาดใหญ่ เปิดตัวในปี 1989 ราคา 7,300 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,300 ดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบันนี้
Apple LaserWriter เครื่องพิมพ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ Macintosh ได้นับสิบเครื่อง ทำให้มันมีราคาถึง 6,995 ดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเปิดตัวในปี 1985 แต่ถ้าเทียบกับค้าเงินในยุคนี้ ก็จะอยู่ที่ราวๆ 16,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
Apple Watch Edition เป็นรุ่นพิเศษของ Apple Watch รุ่นแรกที่ออกมาในปี 2015 มีราคาสูงถึง 17,000 ดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับเวอร์ชั่นไฮเอนด์ ตัวเรือนใช้ทองคำ 18 กะรัต ขณะที่รุ่นธรรมดาของ Apple Watch วางจำหน่ายที่ 349 ดอลล่าร์สหรัฐ
Mac Pro รุ่น 2013 ในทางเทคนิคแล้ว ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงมาก ลูกค้าสามารถจ่ายในราคา 2,999 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ถ้าลูกค้าต้องการอัพเกรดอุปกรณ์ทุกชิ้น อาจจะต้องจ่ายถึง 20,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
ที่มา – BusinessInsider
http://www.flashfly.net/wp/?p=179504